เทวธมฺมชาตกํ - ว่าด้วยธรรมของเทวดา
"หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา, สุกฺกธมฺมสมาหิตา;
สนฺโต สปฺปุริสา โลเก, เทวธมฺมาติ วุจฺจเรติ ฯ
สัปบุรุษผู้สงบระงับ ประกอบด้วยหิริและโอตตัปปะ ตั้งมั่นอยู่ในธรรมอันขาว ท่านเรียกว่าผู้มีธรรมของเทวดาในโลก."
เทวธัมมชาดกอรรถกถา
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเชตวันทรงปรารภภิกษุผู้มีภัณฑะมาก จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา ดังนี้.
ได้ยินว่า กุฎุมพีชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง เมื่อภรรยาตายก็บวชกุฎุมพีนั้น เมื่อจะบวชได้ให้ทำบริเวณ โรงไฟและห้องเก็บสิ่งของทำห้องเก็บสิ่งของให้เต็มด้วยเนยใสและข้าวสารเป็นต้น สำหรับคนแล้วจึงบวช. ก็แหละครั้นบวชแล้ว ให้เรียกทาสของตนมา ให้หุงต้มอาหารตามชอบใจแล้วจึงบริโภคและได้เป็นผู้มีบริขารมาก ในเวลากลางคืน มีผ้านุ่งและผ้าห่มผืนหนึ่ง เวลากลางวัน มีอีกผืนหนึ่งอยู่ท้ายวิหาร.
วันหนึ่ง เมื่อภิกษุนั้นนำจีวรและเครื่องปูลาดเป็นต้น ออกมาคลี่ตากไว้ในบริเวณ, ภิกษุชาวชนบทมากด้วยกัน เทียวจาริกไปตามเสนาสนะ ไปถึงบริเวณ เห็นจีวรเป็นต้น จึงถามว่า „จีวรเป็นต้นเหล่านั้นของใคร ?“ ภิกษุนั้นกล่าวว่า „ของผมครับท่านผู้มีอายุ".
ภิกษุเหล่านั้นถามว่า „จีวรนี้ก็ดี ผ้านุ่งนี้ก็ดี เครื่องลำต้นก็ดี ทั้งหมดเป็นของท่านเท่านั้นหรือ ?“, ภิกษุนั้นกล่าวว่า „ขอรับ เป็นของผมเท่านั้น“. ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า „ท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาต ไตรจีวรมิใช่หรือ? ท่านบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้มักน้อยอย่างนี้ เกิดเป็นผู้มีบริวารมากอย่างนี้, มาเถิดท่าน, พวกเราจักนำไปยังสำนักของพระทศพล“ แล้วได้พาภิกษุนั้นไปยังสำนักของพระศาสดา.
พระศาสดาพอทรงเห็นภิกษุนั้นเท่านั้นจึงตรัสว่า „ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายเป็นผู้พาภิกษุผู้ไม่ปรารถนานั้นแลมาแล้วหรือ?“. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า „ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุนี้มีภัณฑะมากมีบริขารมาก พระเจ้าข้า“ พระศาสดาตรัสถามว่า „ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่า เธอมีภัณฑะมากจริงหรือ ?“ ภิกษุนั้นกราบทูลว่า „ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า จริงพระเจ้าข้า“.
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ก็เพราะเหตุไรเธอจึงเป็นผู้มีภัณฑะมาก เรากล่าวคุณของความเป็นผู้มักน้อย ความเป็นผู้สันโดษ ความสงัด เเละการปรารภความเพียร มิใช่หรือ. ภิกษุนั้นได้ฟังพระดำรัสของพระศาสดาก็โกรธคิดว่า บัดนี้เราจักเที่ยวไปโดยทำนองนี้ จึงทิ้งผ้าห่ม มีจีวรผืนเดียว ยืนอยู่ในท่ามกลางบริษัท.
ลำดับนั้น พระศาสดาเมื่อจะทรงอุปถัมภ์ภิกษุนั้นจึงตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุ เมื่อก่อน แม้ในกาลเมื่อเป็นผีเสื้อน่าผู้แสวงหาหิริโอตตัปปะ, เธอแสวงหาหิริโอตตัปปะอยู่ถึง ๑๒ ปี, เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไรในบัดนี้ เธอบวชในพระพุทธศาสนาอันเป็นที่เคารพต่างนี้ จึงทิ้งผ้าห่มในท่ามกลางบริษัท ละหิริโอตตัปปะยืนอยู่เล่า“.
ภิกษุนั้นได้ฟังพระดำรัสของพระศาสดาได้ยังหิริและโอตัปปะให้กลับตั้งขึ้น, จึงห่มจีวรนั้นแล้วถวายบังคมพระศาสดานั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ภิกษุทั้งหลายทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทรงยังเรื่องนั้นให้แจ่มแจ้ง. พระผู้พระภาคเจ้าได้ทรงกระทำเหตุอันระหว่างภพปกปิดไว้ให้ปรากฏ ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ได้มีพระราชาพระนามว่าพรหมทัต ในนครพาราณสีในแคว้นกาสี. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระเจ้าพรหมทัตนั้น. เมื่อครบทศมาส พระนางประสูติพระโอรส. ในวันเฉลิมพระนามของพระโอรสนั้น พระญาติทั้งหลายได้ตั้งพระนามว่า มหิสสาสกุมาร ในกาลที่พระกุมารนั้นทรงวิ่งเล่นได้ พระโอรสองค์อื่นก็ประสูติ พระญาติทั้งหลายตั้งพระนามของพระโอรสนั้นว่า จันทกุมาร.
ในเวลาที่พระจันทกุมารนั้นทรงวิ่งเล่นได้ พระมารดาของพระโพธิสัตว์ก็สวรรคต, พระราชาทรงตั้งพระสนมอื่นไว้ในตำแหน่งพระอัครมเหสี. พระอัครมเหสีนั้นได้เป็นที่รักเป็นที่โปรดปรานของพระราชา. พระอัครมเหสีแม้นั้นทรงอาศัยการอยู่ร่วมกันก็ประสูติพระโอรสองค์หนึ่ง. พระญาติทั้งหลายได้ตั้งพระนามของพระโอรสนั้นว่า สุริยกุมาร.
พระราชาทรงเห็นพระโอรสแล้วมีพระหฤทัยยินดีตรัสว่า „นางผู้เจริญ เราให้พรแก่บุตรของเธอ“. พระเทวีเก็บไว้จะรับเอาในเวลาต้องการพรนั่น. เมื่อพระโอรสเจริญวัยแล้ว พระนางกราบทูลพระราชาว่า „ข้าแต่สมมติเทพ ในกาลที่พระโอรสของหม่อมฉันประสูติพระองค์ทรงประทานพรไว้มิใช่หรือ? ขอพระองค์จงประทานราชสมบัติแก่พระโอรสของหม่อมฉัน“.
พระราชาทรงห้ามว่า „พระโอรสสองพระองค์ของเรารุ่งเรื่องอยู่เหมือนกองเพลิง เราไม่อาจให้ราชสมบัติแก่โอรสของเธอ“, ทรงเห็นพระนางอ้อนวอนอยู่บ่อย ๆ ทรงพระดำริว่า พระนางนี้จะพึงคิดแม้กรรมอันลามกแก่โอรสทั้งหลายของเรา จึงรับสั่งให้เรียกพระโอรสทั้งสองมาแล้วตรัสว่า „พ่อทั้งสอง ในเวลาที่สุริยกุมารประสูติ พ่อได้ให้พรไว้ บัดนี้มารดาของสุริยกุมารนั้นทูลขอราชสมบัติ พ่อไม่ประสงค์จะให้แก่สุริยกุมารนั้น, ธรรมดามาตุคาม ผู้ลามกจะพึงคิดแม้สิ่งอันลามกแก่พวกเจ้า, เจ้าทั้งสองต้องเข้าป่าต่อเมื่อพ่อล่วงไปแล้ว จงครองราชสมบัติในนครอันเป็นของมีอยู่ของตระกูล“, แล้วทรงกันแสง คร่ำคราญจุมพิตที่ศีรษะแล้วทรงส่งไป.
สุริยกุมารทรงเล่นอยู่ที่พระลานหลวง เห็นพระโอรสทั้งสองนั้นถวายบังคมพระราชบิดาแล้วลงจากปราสาททรงเห็นเหตุนั้น จึงคิดว่า แม้เราก็จักไปกับพระเจ้าพี่ทั้งสอง จึงออกไปพร้อมกับพระโอรสทั้งสองนั้นเอง พระโอรสเหล่านั้นเสด็จเข้าไปยังป่าหิมพานต์. พระโพธิสัตว์แวะลงข้างทางประทับนั่งที่โคนไม้ เรียกสุริยกุมารมาว่า „พ่อสุริยะ. เจ้าจะไปยังสระนั้น อาบและดื่มแล้วจงเอาใบบัวห่อน้ำดื่มมาแม้เพื่อเราทั้งสอง".
ก็สระนั้นเป็นสระที่ผีเสื้อน้ำตนหนึ่งได้พรจากสำนักของท้าวเวสวัณ ท้าวเวสวัณตรัสกะผีเสื้อน้ำนั้นว่า เจ้าจะได้กินคนที่ลงยังสระนี้ ยกเว้นคนที่รู้เทวธรรมเท่านั้น เจ้าจะไม่ได้กินคนที่ไม่ได้ลง ตั้งแต่นั้น รากษสนั้นจึงถามเทวธรรมกะคนที่ลงสระนั้นแล้วกินคนที่ไม่รู้เทวธรรม.
ลำดับนั้นแล สุริยกุมารไปยังสระนั้นไม่ได้พิจารณาเลยลงไปอยู่ ลำดับนั้น รากษสนั้นจับสุริยกุมารนั้นแล้วถามว่า „ท่านรู้เทวธรรมหรือ ?" สุริยกุมารนั้นกล่าวว่า „เออ ฉันรู้ พระจันทร์และพระอาทิตย์ชื่อว่าเทวธรรม“, ลำดับนั้น รากษสนั้นจึงกล่าวกะสุริยกุมารนั้นว่า „ท่านไม่รู้จักเทวธรรม“, แล้วพาดำไปพักไว้ในที่อยู่ของตน.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์เห็นสุริยกุมารนั้นชักช้าอยู่ จึงส่งจันทกุมารไป แม้รากษสก็จับจันทกุมารนั้นแล้วถามว่า „ท่านรู้เทวธรรมไหม ?“ จันทกุมารกล่าวว่า „เออ ฉันรู้ ทิศทั้ง ๔ ชื่อว่าเทวธรรม“ รากษสกล่าวว่า „ท่านไม่รู้เทวธรรม“, แล้วพาจันทกุมารแม้นั้น ไปไว้ในที่อยู่ของตนนั้นนั่นแหละ.
เมื่อจันทกุมารล่าช้าอยู่พระโพธิสัตว์คิดว่า อันตรายอย่างหนึ่งจะพึงมีจึงเสด็จไปที่สระนั้นด้วยพระองค์เอง เห็นรอยเท้าลงของพระอนุชาแม้ทั้งสองจึงดำริว่า สระนี้คงเป็นสระที่รากษสหวงแหน จึงได้สอดพระขรรค์ถือธนูยืนอยู่. ผีเสื้อน้ำเห็นพระโพธิสัตว์ไม่ลงน้ำ จึงแปลงเป็นเหมือนบุรุษผู้ทำงานในป่า กล่าวกะพระโพธิสัตว์ว่า „บุรุษผู้เจริญท่านเหน็ดเหนื่อยในหนทาง เพราะเหตุไร? จึงไม่ลงสระนี้ อาบดื่ม กินเหง้าบัว ประดับดอกไม้ไปตามสบาย“,
พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้นรู้ว่า ผู้นี้จักเป็นยักษ์ จึงกล่าวว่า „ท่านจับน้องชายของเรามาหรือ?“. ผีเสื้อน้ำกล่าวว่า „เออ เราจับมา“.
พระโพธิสัตว์ถามว่า „เพราะเหตุไร?“. ผีเสื้อน้ำกล่าวว่า „เราย่อมได้คนผู้ลงยังสระนี้“.
พระโพธิสัตว์ถามว่า „ท่านย่อมได้ทั้งหมดทีเดียวหรือ ?“ ผีเสื้อน้ำกล่าวว่า „เราได้ทั้งหมด ยกเว้นคนที่รู้เทวธรรม“.
พระโพธิสัตว์นั้นตรัสถามว่า „ท่านมีความต้องการเทวธรรมหรือ ?“, ผีเสื้อน้ำกล่าวว่า „เออมีความต้องการ“.
พระโพธิสัตว์ตรัสว่า „ถ้าเมื่อเป็นอย่างนั้น เราจักบอกเทวธรรมแก่ท่าน“. ผีเสื้อน้ำกล่าวว่า „ถ้าอย่างนั้นท่านจงบอก เราจักฟังเทวธรรม“.
พระโพธิสัตว์ตรัสว่า „แต่เรามีตัวสกปรก“. ยักษ์จึงให้พระโพธิสัตว์อาบน้ำ ให้ดื่มน้ำ ให้ประดับดอกไม้ให้ลูบไล้ของหอมได้ลาดบัลลังก์ให้ในท่ามกลางปะรำที่ประดับแล้ว.
พระโพธิสัตว์ประทับนั่งบทอาสนะ ให้ยักษ์นั่งแทบเท้าแล้วตรัสว่า „ถ้าอย่างนั้น ท่านจงเงี่ยโสตฟังพระธรรมโดยเคารพ“, แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า :-
„สัปบุรุษผู้สงบระงับ ประกอบด้วยหิริและโอตตัปปะ ตั้งมั่นอยู่ในธรรมอันขาวท่านเรียกว่า ผู้มีเทวธรรมในโลก“.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา แปลว่า ผู้ประกอบด้วยหิริและโอตตัปปะ บรรดาหิริและโอตตัปปะเหล่านั้นที่ชื่อว่าหิริ เพราะละอายแต่กายทุจริตเป็นต้น คำว่า หิรินี้ เป็นชื่อของความละอาย. ที่ชื่อว่าโอตตัปปะ เพราะกลัวแต่กายทุจริตเป็นต้นนั้นนั่นแหละ คำว่า โอตตัปปะนี้ เป็นชื่อของความกลัวแต่บาป บรรดาหิริและโอตตัปปะนั้น หิริมีสมุฏฐานที่ตั้งขึ้นภายในโอตตัปปะมีสมุฏฐานที่ตั้งขึ้นภายนอก. หิริ มีตนเป็นใหญ่ โอตตัปปะมีโลกเป็นใหญ่ หิริดำรงอยู่ในสภาวะอันน่าละอาย โอตตัปปะดำรงอยู่ในสภาวะอันน่ากลัว หิริมีลักษณะยำเกรง โอตตัปปะมีลักษณะโทษและเห็นภัย.
บรรดา หิริและโอตตัปปะนั้น บุคคลย่อมยังหิริอันมีสมุฏฐานเป็นภายในให้ตั้งขึ้นด้วยเหตุ ๔ ประการ เพราะพิจารณาถึงชาติกำเนิด ๑ พิจารณาถึงวัย ๑ พิจารณาถึงความกล้าหาญ ๑ พิจารณาถึงความเป็นพหูสูต อย่างไร ? บุคคลพิจารณาถึงชาติกำเนิดก่อนอย่างนี้ว่า ชื่อว่าการกระทำบาปนี้ ไม่เป็นกรรมของคนผู้สมบูรณ์ด้วยชาติ เป็นกรรมของตนผู้มีชาติต่ำมีพรานเบ็ดเป็นต้นจะฟังการทำ บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยชาติเช่นท่านไม่ควรการทำกรรม นี้แล้วไม่ ทำบาปมีปาณาติบาตเป็นต้น ชื่อว่า ยังหิริให้ตั้งขึ้น
อนึ่ง บุคคลพิจารณาถึงวัยอย่างนี้ว่า ชื่อว่าการกระทำบาปนี้เป็นกรรมที่คนหนุ่ม ๆ พึงกระทำ กรรมนี้อันคนผู้ตั้งอยู่ในวัยเช่นท่านไม่ควรกระทำแล้วไม่กระทำบาป มีปาณาติบาตเป็นต้นชื่อว่ายังหิริให้ตั้งขึ้น. แม้อนึ่ง บุคคลพิจารณาถึงความเป็นผู้กล้าหาญอย่างนี้ว่า ชื่อว่าการกระทำบาปนี้ เป็นกรรมของคนผู้มีชาติอ่อนแอ กรรมนี้บุคคลผ้สมบูรณ์ด้วยความกล้าหาญเช่นท่านไม่ควรกระทำแล้วไม่กระทำบาปมีปาณาติบาตเป็นต้นชื่อว่ายังหิริให้ฝูงชน
อนึ่ง บุคคลพิจารณาความเป็นพหูสูตอย่างนี้ว่า ชื่อว่าการกระทำบาปนี้เป็นกรรมของตนอันธพาล กรรมนี้อันคนผู้เป็นพหูสูต เป็นบัณฑิตเช่นท่านไม่ควรการทำแล้วไม่กระทำบาปมีปาณาติบาตเป็นต้นชื่อว่ายังหิริให้ตั้งขึ้น บุคคลชื่อว่ายังหิริอันมีสมุฏฐานภายในให้ตั้งขึ้นด้วยเหตุ ประการอย่างนี้. ก็แหละ ครั้น ให้ตั้งขึ้นแล้ว ยังหิริให้เข้าไปในจิตไม่กระทำบาปด้วยคน หิริย่อมชื่อว่ามีสมุฏฐานภายในอย่างนี้.
โอตตัปปะชื่อว่ามีสมุฏฐานภายนอกอย่างไร ? บุคคลพิจารณาว่า ถ้าท่านจักทำบาปไซร้ท่านจักเป็นผู้ถูกติเตียนในบริษัท ๔ และว่า วิญญูชนทั้งหลายจักติเตียนท่านเหมือนชาวเมือง ติเตียนของไม่สะอาด ดูก่อนภิกษุท่านอันผู้มีศีลทั้งหลายเว้นห่างแล้ว จักกระทำอย่างไร ดังนี้. ย่อมไม่กระทำบาปกรรม เพราะโอตตัปปะอันตั้งขึ้นภายนอก โอตตัปปะย่อมชื่อว่ามีสมุฏฐานภายนอกอย่างนี้.
หิริชื่อว่ามีตนเป็นใหญ่อย่างไร? กุลบุตรบางตนในโลกนี้ กระทำตนให้เป็นใหญ่ให้เป็นหัวหน้า ไม่กระทำบาปด้วยคิดว่า บุคคลผู้บวชด้วยศรัทธาเป็นพหูสูต มีวาทะ [คือสอน] ในการกำจัดกิเลสเช่นท่านไม่ควรกระทำบาปกรรม หิริย่อมชื่อว่ามีตนเป็นให้อย่างนี้ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า บุคคลนั้น กระทำคนนั่นแหละให้เป็นใหญ่ ละอกุศล เจริญกุศลละธรรมที่มีโทษ เจริญธรรมที่ไม่มีโทษ บริหารตนให้หมดจดอยู่.
โอตตัปปะชื่อว่ามีโลกเป็นใหญ่อย่างไร ? กุลบุตรบางตนในโลกนี้กระทำโลกให้เป็นใหญ่ ให้เป็นหัวหน้าแล้วไม่กระทำบาปกรรม สมดังที่ตรัสไว้ว่า „ก็โลกสันนิวาสนี้ให้แล อนึ่ง สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้มีฤทธิ์ มีทิพยจักษุ รู้จิตของผู้อื่น อยู่ในโลกสันนิวาสอันใหญ่แล สมณพราหมณ์เหล่านั้นย่อมเห็นในที่ไกลบ้าง เห็นในที่ใกล้บ้าง รู้จิตด้วยจิตบ้าง สมณพราหมณ์แม้เหล่านั้นย่อมรู้เราอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญท่านทั้งหลายจงดูกุลบุตรนี้ เขามีศรัทธาออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเกลือกกลั้วด้วยอกุศลธรรมอันลามกอยู่
เทวดาทั้งหลายผู้มีฤทธิ์ มีทิพยจักษุ รู้จิตของผู้อื่นมีอยู่ แม้เทวดาเหล่านั้นย่อมเห็นแต่ที่ไกลบ้าง ย่อมเห็นในที่ใกล้บ้าง ย่อมรู้ใจด้วยใจบ้าง แม้เทวดาเหล่านั้นก็จักรู้เราว่า ท่านผู้เจริญท่านทั้งหลายจงดูกุลบุตรนี้ เขามีศรัทธาออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตไม่มีเรือน เกลือกกลั้วด้วยอกุศลธรรมอันลามกอยู่ เขากระทำโลกนั่นแลให้เป็นใหญ่ ละอกุศลเจริญกุศล ละธรรมอันมีโทษเจริญ ธรรมอันไม่มีโทษ บริหารคนให้หมดจดอยู่ โอตตัปปะย่อมชื่อว่ามีโลกเป็นใหญ่อย่างนี้“.
ก็ในคำว่า หิริตั้งอยู่ในสภาวะน้ำละอาย โอตตัปปะตั้งอยู่ในสภาวะน่ากลัวนี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้. อาการละอายชื่อว่าความละอาย หิริตั้งอยู่โดยสภาวะอันนั้น ความกลัวแต่อบายชื่อว่าภัย โอตตัปปะตั้งอยู่โดยสภาวะอันนั้น.
หิริและโอตตัปปะแม้ทั้งสองนั้น ย่อมปรากฏในการงดเว้นทุกบาป จริงอยู่ บุคคลบางคนก้าวลงสู่ธรรมคือความละอายอันเป็นภายในไม่กระทำบาปธรรม เหมือนกุลบุตรเมื่อจะถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะเป็นต้น เห็นคนหนึ่งอันควรละอาย พึงเป็นผู้ถึง อาการละอาย ถูกอุจจาระ ปัสสาวะบีบคั้นจนอาจมเล็ดก็ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ไม่ได้ ฉะนั้น
บุคคลบางคนกลัวภัยในอบายจึงไม่กระทำบาปกรรม ในข้อนั้นมีความอุปมาดังต่อไปนี้:เหมือนอย่างว่า ในก้อนเหล็ก ๒ ก้อน ก้อนหนึ่งเย็น แต่เปื้อนคูถก้อนหนึ่งร้อน ไฟติดโพลง.
ในก้อนเหล็ก ๒ ก้อนนั้น บัณฑิตเกลียดไม่จับก้อนเย็น เพราะก้อนเย็นเปื้อนคูถ ไม่จับก้อนร้อน เพราะกลัวไฟไหม้ ฉันใด. ในข้อที่ว่า ด้วยหิริและโอตตัปปะนั้นก็ฉันนั้น พึงทราบการหยั่งลงสู่ลัชชีธรรมอันเป็นภายในแล้วไม่ทำบาปกรรม เหมือนบัณฑิตเกลียดก้อนเหล็กเย็นที่เปื้อนคูถจึงไม่จับและพึงทราบการไม่ทำบาปเพราะกลัวภัยในอบาย เหมือนการที่บัณฑิตไม่จับก้อนเหล็กร้อน เพราะกลัวไหม้ฉะนั้น.
แม้บททั้งสองนี้ที่ว่า หิริมีลักษณะยำเกรง โอตตัปปะมีลักษณะกลัวโทษและเห็นภัย ดังนี้ ย่อมปรากฏเฉพาะในการงดเว้นจากบาปเท่านั้น. จริงอยู่ คนบางคนยังหิริอันมีลักษณะยำเกรงให้เกิดขึ้นด้วยเหตุ ๔ ประการ คือพิจารณาถึงความเป็นใหญ่โดยชาติ ๑ พิจารณาถึงความเป็นใหญ่แต่งพระศาสดา๑ พิจารณาถึงความเป็นใหญ่โดยทรัพย์มรดก ๑ และพิจารณาถึงความเป็นใหญ่แห่งเพื่อนพรหมจารี ๑ แล้วไม่ทำบาป.
คนบางคนยังโอตตัปปะอันมีลักษณะกลัวโทษและมักเห็นภัย ให้ตั้งขึ้นด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ ภัยในการติเตียนตน ๑ ภัยในการที่คนอื่นติเตียน ๑ ภัยคืออาชญา ๑ และภัยในทุคติ ๑ แล้วไม่ทำบาป ในข้อที่ว่า ด้วยหิริโอตตัปปะนั้น พึงกล่าวการพิจารณาความเป็นใหญ่โดยชาติเป็นต้นและภัยในการติเตียนตนเป็นต้นให้พิสดาร ความพิศดารของการพิจารณาความเป็นใหญ่โดยชาติเป็นต้นเหล่านั้นได้กล่าวไว้แล้วในอรรถกถาอังคตตรนิกาย.
บทว่า สุกฺกธมฺมสมาหิตา ความว่า กุศลธรรมที่ควรกระทำมีหิริโอตตัปปะนี้แหละเป็นต้น ไปชื่อว่าสุกกธรรม ธรรมขาว เมื่อว่า โดยนัยที่รวมถือเอาทั้งหมด สุกกธรรมนั้น ก็คือธรรมอันเป็นโลกิยะและโลกุตระอันเป็นไปในภูมิ ๔ ที่ประกอบแล้ว ประกอบพร้อมแล้วด้วยหิริและโอตตัปปะทั้งสองนั้น.
บทว่า สนฺโต สปฺปุริสา โลเก ความว่า ชื่อว่าผู้สงบระงับ เพราะกายกรรมเป็นต้นสงบระงับแล้วชื่อว่าเป็นสัปบุรุษ เพราะเป็นบุรุษผู้งดงามด้วยความกตัญญูกตเวที.
ก็ในบทว่า โลเกนี้ โลกมีหลายโลก คือ สังขารโลก สัตวโลกโอกาสโลก ขันธโลก อายตนโลกและธาตุโลก. ในโลกเหล่านั้นสังขารโลกท่านกล่าวไว้ในประโยคนี้ว่า โลกหนึ่ง คือ สัตว์ทั้งปวงดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร ฯลฯ โลก ๑๘ คือธาตุ ๑๘. โลกมีขันธโลกเป็นต้นรวมอยู่ในสังขารโลกนั่นแหละ.
ส่วนสัตวโลกท่านกล่าวไว้ในประโยคมีอาทิว่า โลกนี้ โลกหน้า เทวโลกมนุษยโลก. โอกาสโลกท่านกล่าวไว้ในประโยคนี้ว่า พันโลกธาตุมีประมาณเพียงที่พระจันทร์และพระอาทิตย์เวียนส่องสว่างไปทั่วทิศ อำนาจของพระองค์ย่อมแผ่ไปในพันโลกธาตุนั้น.
บรรดาโลกเหล่านั้นในที่นี้ประสงค์เอาสัตวโลก จริงอยู่ ในสัตว์โลกเท่านั้น มีสัปบุรุษเห็นปานนี้ สัปบุรุษเหล่านั้นท่านกล่าวว่า มีเทวธรรม.
บทว่า เทว ในบทว่า เทวธมฺมา นั้น เทพมี ๓ ประเภท คือ สมมติเทพ ๑ อุปบัติเทพ ๑ และวิสุทธิเทพ ๑ บรรดาเทพเหล่านั้นพระราชาและพระราชกุมารเป็นต้นชื่อว่าสมมติเทพ เพราะชาวโลกสมมติว่า เป็นเทพ จำเดิมแต่ครั้งพระมหาสมมติราช. เทวดาผู้อุปบัติในเทวโลกชื่อว่าอุปบัติเทพ. พระขีณาสพชื่อว่าวิสุทธิเทพ. สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า พระราชา พระราชเทวี พระราชกุมารชื่อว่าสมมติเทพ. เทพสูง ๆขึ้นไปตั้งแต่ภุมมเทวดาไปชื่อว่าอุปปัตติเทพ ? พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระขีณาสพชื่อว่าวิสุทธิเทพ. ธรรมของเทพเหล่านี้ชื่อว่าเทวธรรม.
บทว่า วุจฺจเร แปลว่า ย่อมกล่าว จริงอยู่ กุศลธรรมทั้งหลายมีหิริโอตตัปปะเป็นมูลชื่อว่าเป็นธรรมของเทพทั้ง ๓ ประเภทเหล่านี้เพราะอรรถว่า เป็นเหตุแห่งกุศลสัมปทา แห่งการเกิดในเทวโลกและแห่งความหมดจดเพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าเทวธรรม แม้บุคคลผู้ประกอบด้วยเทวธรรมเหล่านั้นก็เป็นผู้มีเทวธรรม
เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงธรรมเหล่านั้นด้วยเทศนาอันเป็นบุคคลอธิษฐานจึงตรัสว่า สัปบุรุษผู้สงบระงับเรียกว่า ผู้มีเทวธรรมในโลก. ยักษ์ครั้นได้ฟังธรรมเทศนานี้ มีความเลื่อมใสจึงกล่าวกะพระโพธิสัตว์ว่า ดูก่อนบัณฑิต เราเลื่อมใสท่านจะให้น้องชายคนหนึ่ง จะให้นำคนไหนมา.
พระโพธิสัตว์ตรัสว่า „ท่านจงนำน้องชายคนเล็กมา“. ยักษ์กล่าวว่า „ดูก่อนบัณฑิตท่านรู้แต่เทวธรรมอย่างเดียวเท่านั้น แต่ไม่ประพฤติในเทวธรรมเหล่านั้น“.
พระโพธิสัตว์ตรัสถามว่า „เพราะเหตุไร ?“ ยักษ์กล่าวว่า „เพราะเหตุที่ท่านเว้นพี่ชายเสียให้นำน้องชายมาชื่อว่าไม่กระทำกรรมของผู้อ่อนน้อมต่อผู้เจริญที่สุด“.
พระโพธิสัตว์ตรัสว่า „ดูก่อนยักษ์ เรารู้เทวธรรมทีเดียวและประพฤติในเทวธรรมเหล่านั้นเพราะว่า เราทั้งหลายเข้าบ้าน เพราะอาศัยน้องชายนี้ ด้วยว่า พระมารดาของน้องชายนี้ ทูลขอราชสมบัติกะพระบิดาของพวกเรา เพื่อประโยชน์แก่น้องชายนี้ แต่พระบิดาของพวกเราไม่ให้พรนั้น เพื่อจะทรงอนุรักษ์พวกเรา จึงทรงอนุญาตการอยู่ป่า พระกุมารนั้นติดตามมากับพวกเรา. แม้เมื่อพวกเรากล่าวว่า „ยักษ์ในป่ากินพระกุมารนั้นเสียแล้ว ใคร ๆ จักไม่เชื่อด้วยเหตุนั้น เรากลัวแต่ภัยคือการครหา จึงให้นำน้องชายคนเล็กนั้นนั่นแหละมา“.
ยักษ์มีจิตเลื่อมใสให้สาธุการแก่พระโพธิสัตว์ว่า „สาธุ สาธุท่านบัณฑิตท่านรู้เทวธรรมทั้งปฏิบัติในเทวธรรมเหล่านั้น“ ดังนี้แล้วจึงได้นำน้องชายแม้ทั้งสองคนมาให้.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ตรัสกะยักษ์นั้นว่า „สหายท่านบังเกิดเป็นยักษ์มีเนื้อและเลือดของตนอื่นเป็นภักษา เพราะบาปกรรมที่คนทำไว้ในชาติก่อน, บัดนี้ท่านยังกระทำบาปนั่นแลช้าอีก ด้วยว่า บาปกรรมจักไม่ให้พ้นจากนรกเป็นต้น เพราะฉะนั้น ตั้งแต่นี้ไปท่านจงละบาปแล้วการทำแต่กุศล“. ก็แหละได้สามารถทรมานยักษ์นั้น พระโพธิสัตว์นั้นครั้นทรมานยักษ์นั้นแล้วเป็นผู้อันยักษ์นั้นจัดแจงการอารักขาอยู่ในที่นั้น นั่นแล.
วันหนึ่งแลดูนักขัตฤกษ์ รู้ว่า พระชนกสวรรคต จึงพายักษ์ไปเมืองพาราณสี ยึดราชสมบัติ ประทานตำแหน่งอุปราชแก่พระจันทกุมาร ประทานตำแหน่งเสนาบดีแก่สุริย กุมาร ให้สร้างที่อยู่ในที่อันน่ารื่นรมย์ให้แก่ยักษ์ได้ทรงกระทำโดยประการที่ยักษ์นั้นได้บูชาอันเลิศ ดอกไม้อันเลิศ. ของหอมอันเลิศ ผลไม้อันเลิศและภัตอันเลิศ.
พระโพธิสัตว์ครองราชสมบัติโดยธรรมได้เสด็จไปตามยถากรรมแล้ว.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประกาศสัจจะทั้งหลาย ในเวลาจบสัจจะภิกษุนั้นดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสเรื่อง ๒ เรื่องสืบอนุสนธิต่อกันไปแล้วทรงประชุมชาดกว่า ผีเสื้อน้ำในครั้งนั้นได้เป็นภิกษุผู้มีภัณฑะมากในบัดนี้ สุริยกุมารได้เป็นพระอานนท์ จันทกุมารได้เป็นพระสารีบุตร ส่วนมหิสสาสกุมารผู้เป็นเชฏฐาได้เป็นเราเองแล.
Credit: Palipage : Guide to Language - Pali
22. กุกฺกุรชาตกํ - ว่าด้วยสุนัขที่ถูกฆ่า , 21. กุรุงฺคมิคชาตกํ - ว่าด้วยกวางกุรุงคะ , 20. นฬปานชาตกํ - เหตุที่ไม้อ้อเป็นรูทะลุตลอด , 19. อายาจิตภตฺตชาตกํ - ว่าด้วยการเปลื้องตน , 18. มตกภตฺตชาตกํ - ว่าด้วยสัตว์ไม่ควรฆ่าสัตว์ , 17. มาลุตชาตกํ - ว่าด้วยความหนาวเกิดแต่ลม , 16. ติปลฺลตฺถมิคชาตกํ - ว่าด้วยเล่ห์กลลวงพราน , 15. ขราทิยชาตกํ - ว่าด้วยผู้ล่วงเลยโอวาท , 14. วาตมิคชาตกํ - ว่าด้วยอำนาจของรส , 13. กณฺฑินชาตกํ - ว่าด้วยผู้ตกอยู่ในอำนาจหญิง , 12. นิคฺโรธมิคชาตกํ - ว่าด้วยการเลือกคบ , 11. ลกฺขณมิคชาตกํ - ว่าด้วยผู้มีศีล , 10. สุขวิหาริชาตกํ - ว่าด้วยการอยู่เป็นสุข , 09. มฆเทวชาตกํ - ว่าด้วยเทวทูต , 08. คามณิชาตกํ - ว่าด้วยไม่ใจเร็วด่วนได้ , 07. กฏฺฐหาริชาตกํ - ว่าด้วยพระเจ้ากัฏฐวาหนะ , 06. เทวธมฺมชาตกํ - ว่าด้วยธรรมของเทวดา , 05. ตณฺฑุลนาฬิชาตกํ - ว่าด้วยราคาข้าวสาร, 04. จูฬเสฏฺฐิชาตกํ - ว่าด้วยคนฉลาดตั้งตนได้ , 03. เสริววาณิชชาตกํ - ว่าด้วยเสรีววาณิช , 02. วณฺณุปถชาตกํ - ว่าด้วยผู้ไม่เกียจคร้าน , 01. อปณฺณกชาตกํ - ว่าด้วยการรู้ฐานะและมิใช่ฐานะ
0 comments: