พระไตรปิฎกเป็นดังสาคร (ทะเลใหญ่)
พระพุทธพจน์คือพระไตรปิฎก จัดเป็นนัยสาคร ทะเลใหญ่อันประดับไปด้วยหัวข้อสำคัญมากมาย
ท่านกล่าวไว้ว่า “ปีติโสมนัสอันไม่มีที่สิ้นสุด ย่อมเกิดแก่กุลบุตรทั้งหลายผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ผู้มีความเลื่อมใสมาก ผู้มีญาณอันยิ่ง ผู้ได้พิจารณาตันติแม้ทั้งสองประการ” ดังนี้. ตันติ แม้ทั้งสองประการ คือ พระวินัย ๑ พระอภิธรรม ๑
๑. ปีติและโสมนัสอันไม่มีที่สุด ย่อมเกิดแก่ภิกษุวินัยธรทั้งหลาย ผู้พิจารณาตันติแห่งวินัยว่า “ธรรมดาการบัญญัติสิกขาบท เป็นการบัญญัติอันสมควรแก่โทษ, สิกขาบทนี้ย่อมมี เพราะโทษนี้ เพราะการก้าวล่วงอันนี้” ดังนี้. และเกิดแก่ผู้พิจารณาอุตริมนุสธรรมเปยยาล แก่ผู้พิจารณานีลเปยยาล ผู้พิจารณาสัญจริตเปยยาลว่า “การบัญญัติสิกขาบท ไม่ใช่วิสัยของชนเหล่าอื่น เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเท่านั้น” ดังนี้
๒. ปีติและโสมนัสอันไม่มีที่สุด ย่อมเกิดแม้แก่ภิกษุผู้เรียนพระอภิธรรม ผู้พิจารณาซึ่งตันติแห่งพระอภิธรรมว่า “พระศาสดาของเราทั้งหลาย เมื่อทรงจำแนกแม้ความแตกต่างแห่งขันธ์ แม้ความแตกต่างแห่งอายตนะ แม้ความแตกต่างแห่งธาตุ ความแตกต่างแห่งอินทรีย์ พละ โพชฌงค์ กรรม วิบาก การกำหนดรูปและอรูป ธรรมอันละเอียดสุขุม ทรงกระทำแต่ละข้อในรูปธรรมและอรูปธรรมให้เป็นส่วนๆ แสดงไว้ เหมือนการนับดาวทั้งหลายในท้องฟ้าฉะนั้น” ดังนี้
การศึกษาพระธรรมวินัยใด้ดี ให้เข้าใจแจ่มแจ้ง ย่อมเป็นบ่อเกิดแห่งปีติและโสมนัสอย่างมาก และมีอานิสงส์ให้ได้บรรลุธรรมโดยง่ายด้วย ดังปรากฏในเรื่องของพระเถระชื่อว่า มหานาคติมิยติสสทัตตะ
ดังได้สดับมา พระเถระชื่อว่ามหานาคติมิยติสสทัตตะ เมื่อไปสู่ฝั่งโน้น (ท่านนั่งเรือจากลังกาไปสู่อินเดีย) ด้วยคิดว่า “เราจักไปไหว้ต้นพระศรีมหาโพธิ์” จึงนั่งที่พื้นเบื้องบนเรือแลดูมหาสมุทร ในครั้งนั้น ฝั่งโน้นไม่ปรากฏแก่ท่านเลย ฝั่งนี้ก็ไม่ปรากฏ มหาสมุทรปรากฎเป็นเช่นกับแผ่นเงินอันเขาแผ่ออกและเช่นกับเครื่องลาดทำด้วยดอกมะลิฉะนั้น ท่านคิดว่า “กำลังคลื่นของมหาสมุทรมีกำลังมากหรือหนอแล หรือว่า นยมุข (เนื้อความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะนำไว้) ในสมันตปัฏฐาน ๒๔ ประเภทมีกำลังมากกว่า (กว่ากำลังแห่งมหาสมุทร)” ดังนี้
ทีนั้น ปีติมีกำลังก็เกิดขึ้นแก่ท่านผู้พิจารณาธรรมอันละเอียดสุขุมว่า “การกำหนดในมหาสมุทรย่อมปรากฏ เพราะว่า มหาสมุทรนี้ เบื้องล่างกำหนดด้วยแผ่นดิน เบื้องบนกำหนดด้วยอากาศ ข้างหนึ่งกำหนดด้วยภูเขาจักรวาล ข้างหนึ่งกำหนดด้วยฝั่ง แต่การกำหนดสมันตปัฏฐานย่อมไม่ปรากฏ” ดังนี้ ท่านข่มปีติแล้วเจริญวิปัสสนา นั่งอยู่ตามเดิม ยังกิเลสทั้งปวงให้สิ้นไปแล้ว ตั้งอยู่ในพระอรหัตซึ่งเป็นธรรมอันเลิศ แล้วเปล่งอุทานว่า
“พระโยคีย่อมเห็นธรรมที่ลึกซึ้ง อันตรัสรู้ได้แสนยาก มีเหตุเป็นแดนเกิดขึ้น อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ทรงรู้ยิ่งโดยพระองค์เองแล้ว ทรงแสดงไว้โดยลำดับ โดยสิ้นเชิง ในสมันตปัฏฐานนี้เท่านั้น เหมือนกับเป็นรูปร่างทีเดียว” ดังนี้.
เพราะฉะนั้น พระธรรมวินัยนี้ชื่อว่า นยสาคร (สาคร คือนัย ได้แก่ข้อสำคัญมากมาย)
(พรุ่งนี้อ่านพระสัพพัญญุตญาณเปรียบด้วยสาคร)
สาระธรรมจากอรรถกถาธรรมสังคณี ชื่ออัฏฐสาลินี
พระมหาวัชระ เชยรัมย์ (ติกฺขญาโณ)
23/10/64
สาคร คือ ทะเล, พระไตรปิฎกเป็นดังสาคร (ทะเลใหญ่), พระสัพพัญญุตญาณเป็นดังสาคร (ทะเลใหญ่)
ภาพ : พระพุทธสิริภูวดลมงคลชัย ที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่กลางน้ำภายในอ่างเก็บน้ำเขาระกำ ตำบลวังกระแจะ อำเภอเมืองตราด
0 comments: