สุขวิหาริชาตกํ - ว่าด้วยการอยู่เป็นสุข
"ยญฺจ อญฺเญ น รกฺขนฺติ, โย จ อญฺเญ น รกฺขติ;
ส เว ราช สุขํ เสติ, กาเมสุ อนเปกฺขวาติ ฯ
ชนเหล่าอื่นไม่ต้องรักษาผู้ใดด้วย, ผู้ใดก็ไม่ต้องรักษาชนเหล่าอื่นด้วย, ดูกรมหาบพิตร ! ผู้นั้นแล ไม่เยื่อใยในกามทั้งหลาย ย่อมอยู่เป็นสุข."
สุขวิหาริชาดกอรรถกถา
พระศาสดาเมื่อทรงอาศัย อนุปิยนคร ประทับอยู่ในอนุปิยอัมพวันทรงปรารภพระภัตทิยเถระผู้มีปกติอยู่เป็นสุขจึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ยญฺจ อญฺเญ น รกฺขนฺติ ดังนี้.
พระภัททิยเถระผู้มีปกติอยู่เป็นสุข มีพระอุบาลีเป็นที่ ๗ บวชในสมาคมกษัตริย์ ๖ พระองค์ บรรดาพระเถระเหล่านั้นพระภัททิยเถระ พระกิมพิลเถระ พระภคุเถระ พระอุบาลีเถระบรรลุพระอรหัต พระอานนทเถระเป็นพระโสดาบัน พระอนุรุทธเถระเป็นผู้มีทิพยจักษุ พระเทวทัตเป็นผู้ได้ฌาน ก็เรื่องของกษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์ จักมีแจ้งในกัณฑหาลชาดกเพียงแต่อนุปิยนคร.
ก็ท่านพระภัตทิยเถระรักษาคุ้มครองพระองค์ในคราวเป็นพระราชา ก็ยังทรงเห็นภัยที่จะเกิดขึ้นแก่พระองค์ผู้อันเขารักษาอยู่ด้วยการรักษามากมายดุจเทวดาจัดการรักษาและภัยที่จะเกิดแก่ พระองค์ผู้ทรงพลิกกลับไปมาอยู่บนพระที่บรรทมใหญ่ในปราสาทชั้นบน บัดนี้บรรลุพระอรหัตแล้ว แม้จะอยู่ในที่ใดที่หนึ่งมีป่าเป็นต้น ก็พิจารณาเห็นความที่พระองค์เป็นผู้ปราศจากภัย จึงเปล่งอุทานว่า „สุขหนอ สุขหนอ“.
ภิกษุทั้งหลายได้ฟังดังนั้นจึงกราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า „ท่านพระภัตทิยเถระพยากรณ์พระอรหัตผล“ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลายภัตทิยะมีปกติอยู่เป็นสุขในบัดนี้เท่านั้นหามิได้ แม้ในกาลก่อนก็มีปกติอยู่เป็นสุขเหมือนกัน“. ภิกษุทั้งหลายจึงทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อต้องการให้ทรงประกาศเรื่องนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ทรงกระทำเหตุอันระหว่างภพปกปิดไว้ ให้ปรากฏ ดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เป็นพราหมณ์มหาศาลผู้เกิดในตระกูลสูง เห็นโทษในกามทั้งหลายและอานิสงส์ในการออกบวช จึงละทิ้งการทั้งหลายเข้าป่าหิมพานต์บวชเป็นฤาษี ทำสมาบัติ ๘ ให้บังเกิดขึ้น แม้บริวารของพระโพธิสัตว์นั้นได้เป็นบริวารใหญ่ มีดาบสอยู่ ๕๐๐ รูป.
ในฤดูฝน พระโพธิสัตว์นั้นออกจากป่าหิมพานต์ แวดล้อมด้วยหมู่ดาบสเที่ยวจาริกไปในตามและนิคมเป็นต้นบรรลุถึงเมื่องพาราณสีทรงอาศัยพระราชาสำเร็จการอยู่ในพระราชอุทยานทรงอยู่ในพระราชอุทยานนั้น ตลอด ๔ เดือนฤดูฝนแล้วทูลลาพระราชา. ลำดับนั้น พระราชาทรงอ้อนวอนพระโพธิสัตว์นั้นว่า „ท่านผู้เจริญท่านก็แก่แล้วท่านจะประโยชน์อะไรด้วยป่าหิมพานต์?, ท่านจงส่งอันเตวาสิกทั้งหลายไปป่าหิมพานต์แล้วอยู่เสียในที่นี้เถิด“.
พระโพธิสัตว์ทรงหอบดาบส ๕๐๐ รูป กับอันเตวาสิกผู้ใหญ่แล้วส่งดาบสเหล่านั้นไปด้วยคำว่า „ท่านจงไปอยู่ในป่าหิมพานต์กับดาบสเหล่านี้, ส่วนเราจักอยู่ในที่นี้แหละ“, แล้วตนเองก็สำเร็จการอยู่ในพระราชอุทยานนั้นนั่นเอง ก็หัวหน้าอันเตวาสิกนั้นของพระโพธิสัตว์นั้น เป็นราชบรรพชิต ละราชสมบัติใหญ่ออกบวช กระทำกสิณบริกรรมได้สมาบัติ ๘.
หัวหน้าอันเตวาสิกนั้นอยู่ในป่าหิมพานต์กับดาบสทั้งหลาย มีความประสงค์จะเห็นอาจารย์ จึงเรียกดาบสเหล่านั้นมาแล้วกล่าวว่า „ท่านทั้งหลายอย่าได้รำคาญ จงอยู่ในที่นี้แหละ เราเห็นอาจารย์แล้วจักกลับมา“, แล้วไปยังสำนักของอาจารย์ ไหว้แล้วกระทำปฏิสันถาร ปูลาดเสื่อลำแพนผืนหนึ่งนอนอยู่ในสำนักของอาจารย์นั่นเอง.
ก็สมัยนั้น พระราชาทรงพระดำริว่า จักเยี่ยมพระดาบส จึงเสด็จไปยังพระราชอุทยาน ไหว้แล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง ดาบสผู้เป็นอันเตวาสิกแม้เห็นพระราชาก็ไม่ลุกขึ้น แต่นอนอยู่อย่างนั้นแลเปล่งอุทานว่า „สุขหนอ สุขหนอ“. พระราชาทรงน้อยพระทัยว่า ดาบสนี้ แม้เห็นเราก็ไม่ลุกขึ้น จึงตรัสกะพระโพธิสัตว์ว่า „ท่านผู้เจริญ ดาบสนี้คงจักฉันตามต้องการ จึงสำเร็จการนอนอย่างสบายทีเดียวเปล่งอุทานอยู่".
พระโพธิสัตว์ตรัสว่า „มหาบพิตร ดาบสนี้ เมื่อก่อนได้เป็นพระราชาองค์หนึ่งเช่นกับพระองค์ ดาบสนี้นั้นคิดว่า เมื่อก่อนในคราวเป็นคฤหัสถ์ เราเสวยสิริราชสมบัติ แม้อันคนเป็นอันมาก มีมือถืออาวุธคุ้มครองอยู่ ก็ยังไม่ได้ชื่อว่าความสุขเห็นปานนี้ จึงปรารภสุขในการบวชและสุขในฌานของตนแล้วเปล่งอุทานนี้“
ก็แหละครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว เพื่อจะตรัสธรรมกถาแก่พระราชาจึงตรัสคาถานี้ว่า :-
„ชนเหล่าอื่นไม่ต้องรักษาผู้ใดด้วยและผู้ใดก็ไม่ต้องรักษาชนเหล่าอื่นด้วย, ดูก่อนมหาบพิตร ! ผู้นั้นแล ไม่เยื่อใยในกามทั้งหลาย ย่อมอยู่เป็นสุข“.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อยฺจ อญฺเญ น รกฺขนฺติ ความว่า บุคคลเหล่าอื่นเป็นอันมาก ย่อมไม่รักษาบุคคลใด. บทว่า โย จ อญฺเญ น รกฺขติ ความว่า แม้บุคคลใดก็ไม่รักษาคนอื่นเป็นอันมาก ด้วยคิดว่า เราผู้เดียวครองราชสมบัติ. บทว่า ส เว ราชสุขํ เสติ ความว่า ดูก่อนมหาบพิตร บุคคลนั้นผู้เดียวไม่มีเพื่อน สงัดเงียบแล้ว เป็นผู้พรั่งพร้อมด้วยความสุขทางกายและทางจิต ย่อมนอนเป็นสุข. ก็คำว่า นอนเป็นสุขนี้ เป็นหัวข้อเทศนาเท่านั้น ย่อมนอนเป็นสุขอย่างเดียวเท่านั้นก็หามิได้ ก็บุคคลเห็นปานนี้ย่อยมเดิน ยืน นั่งนอน เป็นสุข คือได้รับความสุขในทุกอิริยาบถที่เดียว. บทว่า กาเมสุ อนเปกฺขวา ความว่า ดูก่อนมหาบพิตร บุคคลเห็นปานนี้เว้นจากความเพ่งเล็งในวัตถุกามและกิเลสกาม คือประกาศจากฉันทราคะไม่มีตัณหาย่อมอยู่เป็นสุขทุกอิริยาบถ.
พระราชาได้ทรงสดับพระธรรมเทศนาแล้วมีพระทัยยินดี บังคมแล้วเสด็จไปยังพระราชนิเวศน์นั่นเอง ฝ่ายอันเตวาสิกก็ไหว้พระอาจารย์แล้วไปยังป่าหิมพานต์เหมือนกัน ฝ่ายพระโพธิสัตว์อยู่ในที่นั้นนั่นแหละ มีฌานไม่เสื่อม กระทำกาละแล้วบังเกิดในพรหมโลก.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัส ๒ เรื่องสืบต่ออนุสนธิกันแล้วทรงประชุมชาดกว่า อันเตวาสิกในครั้งนั้นได้เป็นพระภัททิยเถระ ส่วนครูของคณะคือเราเองแล.
Credit: Palipage : Guide to Language - Pali
22. กุกฺกุรชาตกํ - ว่าด้วยสุนัขที่ถูกฆ่า , 21. กุรุงฺคมิคชาตกํ - ว่าด้วยกวางกุรุงคะ , 20. นฬปานชาตกํ - เหตุที่ไม้อ้อเป็นรูทะลุตลอด , 19. อายาจิตภตฺตชาตกํ - ว่าด้วยการเปลื้องตน , 18. มตกภตฺตชาตกํ - ว่าด้วยสัตว์ไม่ควรฆ่าสัตว์ , 17. มาลุตชาตกํ - ว่าด้วยความหนาวเกิดแต่ลม , 16. ติปลฺลตฺถมิคชาตกํ - ว่าด้วยเล่ห์กลลวงพราน , 15. ขราทิยชาตกํ - ว่าด้วยผู้ล่วงเลยโอวาท , 14. วาตมิคชาตกํ - ว่าด้วยอำนาจของรส , 13. กณฺฑินชาตกํ - ว่าด้วยผู้ตกอยู่ในอำนาจหญิง , 12. นิคฺโรธมิคชาตกํ - ว่าด้วยการเลือกคบ , 11. ลกฺขณมิคชาตกํ - ว่าด้วยผู้มีศีล , 10. สุขวิหาริชาตกํ - ว่าด้วยการอยู่เป็นสุข , 09. มฆเทวชาตกํ - ว่าด้วยเทวทูต , 08. คามณิชาตกํ - ว่าด้วยไม่ใจเร็วด่วนได้ , 07. กฏฺฐหาริชาตกํ - ว่าด้วยพระเจ้ากัฏฐวาหนะ , 06. เทวธมฺมชาตกํ - ว่าด้วยธรรมของเทวดา , 05. ตณฺฑุลนาฬิชาตกํ - ว่าด้วยราคาข้าวสาร, 04. จูฬเสฏฺฐิชาตกํ - ว่าด้วยคนฉลาดตั้งตนได้ , 03. เสริววาณิชชาตกํ - ว่าด้วยเสรีววาณิช , 02. วณฺณุปถชาตกํ - ว่าด้วยผู้ไม่เกียจคร้าน , 01. อปณฺณกชาตกํ - ว่าด้วยการรู้ฐานะและมิใช่ฐานะ
0 comments: