“คิดถึงเหตุและผลแล้ว สัจจวาจาเป็นที่พึ่งได้”
ถ้ารู้สึกว่า “ไม่เคยจงใจเบียดเบียนสัตว์หรือบุคคลอื่นให้ลำบากแม้แต่คนเดียวเลย” จงตั้งอยู่ในความสัตย์นั้นแล้วอธิษฐานด้วยสัจจวาจาเถิด เพราะการทำสัจจะอันประเสริฐต้องอาศัยความเพียรอันสูงสุด คือบุคคลผู้รักษาศีลได้บริสุทธิ์นั้นต้องอาศัยความเพียรในการละชั่วทำความดี เพราะฉะนั้น กำลังเดชแห่งความสัตย์ ย่อมช่วยเปลื้องตนให้พ้นจากความพินาศใหญ่ได้แน่นอน
ดังปรากฏในขุททกนิกาย อปทาน พุทธวังสะ จริยาปิฎก กล่าวถึงการทำสัจจกิริยาของพระโพธิสัตว์ว่า
“ในกาลที่เราเป็นพญาปลาอยู่ในสระใหญ่ น้ำในสระแห้งขอด เพราะแสงดวงอาทิตย์ในฤดูร้อน ทีนั้น นกกา นกแร้ง นกกระสา นกตะกรุม และเหยี่ยว มาคอยจับปลากินทั้งกลางวันและกลางคืน
ครั้งนั้น เรากับหมู่ญาติถูกเบียดเบียนจึงคิดอย่างนี้ว่า “โดยอุบายอะไรหนอ หมู่ญาติจะพึงพ้นทุกข์ได้” เราคิดถึงเหตุและผลแล้ว ได้เห็นสัจจะว่าเป็นที่พึ่งได้ จึงตั้งอยู่ในความสัตย์แล้วเปลื้องความพินาศใหญ่ของหมู่ญาตินั้นได้
เราระลึกธรรมของสัตบุรุษ คิดถึงปรมัตถธรรม ได้กระทำสัจจกิริยา ซึ่งเป็นธรรมอันยั่งยืนเที่ยงแท้ในโลกว่า “ตั้งแต่เราจำความได้ ตั้งแต่เรารู้เดียงสาได้มาจนถึงบัดนี้ เราไม่รู้สึกว่าจงใจเบียดเบียนสัตว์แม้ตัวหนึ่งเลย ด้วยสัจจวาจานี้ ขอเมฆจงทำฝนห่าใหญ่ให้ตก แน่ะเมฆ ท่านจงคำราม จงทำขุมทรัพย์ของกาให้พินาศไป ท่านจงทำกาให้ตรอมตรมด้วยความโศก จงปลดเปลื้องฝูงปลาจากความโศก”
พร้อมกับเมื่อเราทำสัจจะอันประเสริฐ เมฆส่งเสียงสนั่นครั่นครืน ทำฝนให้ตกครู่เดียว ก็เต็มเปี่ยมทั้งที่ดอนและที่ลุ่ม
ครั้นเราทำสัจจะอันประเสริฐเห็นปานนี้อันเป็นความเพียรอันสูงสุด อาศัยกำลังเดชความสัตย์ บรรดาลฝนห่าใหญ่ให้ตก บุคคลมีสัจจะเสมอเราไม่มี นี้เป็นสัจจบารมีของเรา ฉะนี้แล.
สาระธรรมจากมัจฉราชจริยา, พระมหาวัชระ เชยรัมย์ (ติกฺขญาโณ) , 6/10/64
0 comments: