อาฬวกยักษ์ทูลถามพระพุทธองค์ในอาฬวกสูตรว่า “กถํชีวึ ชีวิตมาหุ เสฏฺฐํ” แปลว่า “นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวชีวิตของผู้ที่เป็นอยู่อย่างไรว่า “ประเสริฐสุด” ดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า “ปญฺญาชีวึ ชีวิตมาหุ เสฏฺฐํ” แปลว่า “นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวชีวิตของผู้ที่เป็นอยู่ด้วยปัญญาว่าประเสริฐสุด”
ก็ในบทว่า ปญฺญาชีวึ นี้ พึงทราบความอย่างนี้ว่า ในบรรดาผู้มีจักษุบอดข้างเดียวและผู้มีจักษุสองข้าง บุคคลผู้มีจักษุสองข้างนี้นั้น ผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ บำเพ็ญข้อปฏิบัติของคฤหัสถ์มีการขยันทำการงาน ถึงสรณะ แจกทาน สมาทานศีล และรักษาอุโบสถเป็นต้น หรือผู้เป็นบรรพชิต บำเพ็ญข้อปฏิบัติของบรรพชิตด้วยปัญญา ได้แก่ รักษาศีลที่ไม่ทำให้เดือดร้อนและบำเพ็ญจิตตวิสุทธิที่ยิ่งกว่า (ศีล) นั้น (จิตตวิสุทธิ คือข้อปฏิบัติเพื่อความหมดจดของจิตหรือเพื่อความปราศจากกิเลส) เป็นอยู่ ท่านกล่าวชีวิตของผู้เป็นอยู่ด้วยปัญญานั้น คือท่านกล่าวชีวิตที่เป็นอยู่ด้วยปัญญานั้นว่า “ประเสริฐที่สุด”
หมายความว่า
ถ้าเป็นคฤหัสถ์ต้องประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นคนขยันในทำมาหากิน ถึงสรณะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึง หมั่นทำบุญให้ทาน สมาทานศีลหมั่นรักษาศีลไม่ให้ขาด และรักษาอุโบสถในวันพระอันเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ตามวาระโอกาส ชื่อว่า “ผู้เป็นอยู่ด้วยปัญญา”
ถ้าเป็นบรรพชิต ต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์ไม่ทำให้เดือนร้อนใจในภายหลัง ดังอานิสงส์ในการรักษาพระวินัยว่า “พระวินัยที่ภิกษุรักษาดีแล้ว ย่อมได้รับอานิสงส์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ดังนี้
๑. ไม่เป็นทุกข์เดือดร้อนใจว่าบวชเข้ามาเป็นพระแล้วทำผิดศีลผิดวินัย
๒. รู้สึกแช่มชื่นใจว่าตนบวชแล้วก็ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามธรรมตามวินัย ไม่เป็นพระภิกษุทุศีล
๓. ไม่ถูกตำหนิติเตียนอันเนื่องมาจากการไม่รักษาวินัย
๔. ไม่ถูกจับกุมประจารลงโทษ
๕ จะเข้าสมาคมกับผู้ทรงศีลก็ไม่เก้อเขินสะทกสะท้าน
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า “วินัยคือกองศีลของตนอันบรรพชิตนั้นคุ้มครองรักษาดีแล้ว ย่อมเป็นที่พึ่งพิงของเหล่ากุลบุตรผู้ถูกความสงสัยครอบงำ ย่อมกล้าพูดในท่ามกลางสงฆ์ ย่อมข่มขี่พวกข้าศึกได้ด้วยดีโดยสหธรรม ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม” อนึ่งวินัยเป็นข้อปฏิบัติให้บรรลุความหลุดพ้นจากกิเลสเป็นที่สุด เมื่อรักษาวินัยได้แล้ว ก็ต้องบำเพ็ญวัตรเพื่อจิตตวิสุทธิคือสมถะและวิปัสสนาอันเป็นข้อปฏิบัติเพื่อความหมดจดของจิตหรือเพื่อความปราศจากกิเลส
บรรพชิตผู้เป็นอยู่อย่างนี้ชื่อว่า “ผู้เป็นอยู่ด้วยปัญญา” ดังนี้ ฯ
0 comments: