วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ตณฺฑุลนาฬิชาตกํ - ว่าด้วยราคาข้าวสาร

ตณฺฑุลนาฬิชาตกํ - ว่าด้วยราคาข้าวสาร

"กิมคฺฆติ  ตณฺฑุลนาฬิกาย,    อสฺสาน  มูลาย  วเทหิ  ราช [1)];

พาราณสึ  สนฺตรพาหิรโต [2],    อยมคฺฆติ  ตณฺฑุลนาฬิกาติ [3]ฯ

ข้าวสารทะนานหนึ่งมีราคาเท่าไร? พระนครพาราณสีทั้งภายในภายนอกมีราคาเท่าไร? ข้าวสารทะนานเดียวมีค่าเท่าม้า ๕๐๐ เทียวหรือ?"

1) [นาฬิกา จ (สี.), นาฬิกาย (ก. สี. อฏฺฐ.)]  2)  [พาหิรนฺตํ (สี.) 3) [กิมคฺฆตี วณฺฑุลนาฬิกา จ, พาราณสี อนฺตรพาหิรานิ; อสฺสปญฺจสเต ตานิ, เอกา ตณฺฑุลนาฬิกาติ; (สฺยา.)]

ตัณฑุลนาฬิชาดกอรรถกถา

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันวิหารทรงปรารภ พระโลกฬุทายีเถระ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า  กิมคฺฆตีตณฺฑุลนาฬิกา  จ  ดังนี้. 

สมัยนั้นท่านพระทัพพมัลลบุตร ได้เป็นพระภัตตุเทสก์ของสงฆ์เมื่อพระทัพพมัลลบุตรนั้นแสดงสลากภัตเป็นต้น แต่เช้าตรู่ บางคราวภัตดีก็ถึงแก่พระอุทายีเถระ บางคราวภัตเลว. 

ในวันที่ได้ภัตเลว พระอุทายีเถระนั้นกระทำโรงสลากให้อากูลวุ่นวายกล่าวว่า „พระทัพพะเท่านั้น รู้เพื่อให้สลากหรือ พวกเราไม่รู้หรือ?“.   

เมื่อพระอุทายีนั้นทำโรงสลากให้วุ่นวายอยู่. ภิกษุทั้งหลายได้ให้กระเช้าสลากด้วยคำว่า „เอาเถอะท่านนั่นแหละจงให้สลากเดี๋ยวนี้“. 

จำเดิมแต่นั้น พระอุทายีนั้นได้ให้สลากแก่สงฆ์. ก็แหละเมื่อจะให้ ย่อมไม่รู้ว่า นี้ ภัตดีหรือภัตเลว หรือว่า ย่อมไม่รู้ว่า ภัตดีตั้งไว้ที่โรงโน้น, ภัตเลวตั้งไว้ที่โรงโน้น, ย่อมไม่กำหนดว่า บัญชีแสดงยอดจำนวนอยู่ในโรงโน้น, ในเวลาที่ภิกษุทั้งหลายยืน ก็ขีดเส้น ที่พื้นหรือที่ข้างฝา มีอันให้รู้ว่า ในที่นี้บัญชีที่ตั้งลำดับนี้ยืน ในที่นี้ บัญชีที่ตั้งลำดับนี้ยืน. 

วันรุ่งขึ้น ในโรงสลากมีภิกษุน้อยกว่าบ้าง มากกว่าบ้าง เมื่อภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นน้อยกว่า รอยขีดก็อยู่ต่ำ เมื่อภิกษุทั้งหลายมากกว่า รอยขีดก็อยู่สูง. พระอุทายีนั้น เมื่อไม่รู้บัญชีที่ตั้งลำดับ จึงไห้สลากไปตามหมายรอยขีด. 

ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายจึงกล่าวกะพระอุทายีนั้นว่า „ดูก่อนอาวุโสอุทายี ธรรมดารอยขีดจะอยู่ต่ำหรืออยู่สูงก็ตามเถอะ แค่ภัตดีดังอยู่ที่โรงโน้น, ภัตเลวตั้งอยู่ที่โรงโน้น“. พระอุทายีเมื่อจะได้ตอบภิกษุทั้งหลายจงกล่าวว่า „ถ้าเมื่อเป็นอย่างนั้น เพราะเหตุไร? รอยขีดนี้จึงตั้งอยู่อย่างนี้ เราจะเชื่อพวกท่านได้อย่างไร เราเชื่อตามรอยขีดนี้“. 

ลำดับนั้น ภิกษุหนุ่มและสามเณรทั้งหลายจึงกล่าวกะพระอุทายีนั้นว่า „ดูก่อนอาวุโส อุทายี ! เมื่อท่านให้สลากอยู่ ภิกษุทั้งหลายพากันเสื่อมลาภ, ท่านไม่สมควรให้สลาก จงออกไปจากโรงสลาก“, แล้วฉุดคร่าออกจากโรงสลาก. ขณะนั้น ในโรงสลากได้มีความวุ่นวายมาก.

พระศาสดาได้ทรงสดับ ดังนั้นจึงตรัสถามพระอานนทเถระว่า „อานนท์ในโรงสลากมีความวุ่นวายมาก, นั้นชื่อว่าเสียงอะไร?.  พระเถระได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระตถาคต.

พระศาสดาตรัสว่า „อานนท์ อุทายีกระทำความเสื่อมลาภแก่คนอื่น เพราะความที่คนเป็นคนโง่ มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อนก็ได้กระทำแล้วเหมือนกัน“.

พระเถระทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อตรัสเรื่องนั้นให้แจ่มแจ้ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระทำเหตุอันระหว่างภพปกปิดไว้ ให้ปรากฏ ดังต่อไปนี้ :- 

ในอดีตกาล ได้มีพระราชาพระนามว่าพรหมทัต อยู่ในพระนครพาราณสี แคว้นกาสี. ในกาลนั้น #พระโพธิสัตว์ของเราทั้งหลายได้เป็นพนักงานตีราคาของพระเจ้าพรหมทัตนั้น ได้ตีราคาช้างและม้าเป็นต้นและแก้วมณีกับทองเป็นต้น ครั้นตีราคาแล้วให้มูลค่าอันสมควรแก่ภัณฑะนั่นแหละ แก่เจ้าของภัณฑะทั้งหลาย 

แต่พระราชาทรงเป็นคนโลภ เพราะความเป็นผู้มักโลภ พระราชานั้น จึงทรงดำริอย่างนี้ว่า พนักงานตีราคาคนนี้ เมื่อตีราคาอยู่อย่างนี้ไม่นานนัก ทรัพย์ในวังของเราจักถึงความหมดสิ้นไป เราจักตั้งคนอื่นให้เป็นพนักงานตีราคา 

พระราชานั้นทรงให้เปิดสีหบัญชรทอดพระเนตรดูพระลานหลวงทรงเห็นบุรุษชาวบ้านคนหนึ่งผู้ทั้งเหลวไหลและโง่เขลา จึงทรงพระดำริว่า ผู้นี้จักอาจกระทำงานในตำแหน่งพนักงานตีราคาของเราได้ จึงรับสั่ง ให้เรียกเขามาแล้วตรัสว่า พนาย เธอจักอาจทำงานในตำแหน่งพนักงานดี ราคาของเราได้ไหม. 

บุรุษนั้นทูลว่า อาจ พะย่ะค่ะ พระราชาจึงทรงตั้งบุรุษเขลาคนนั้นไว้ในงานของผู้ตีราคา เพื่อต้องการรักษาทรัพย์ของพระองค์. ตั้งแต่นั้น บุรุษผู้โง่เขลานั้น เมื่อจะตีราคาช้างและม้าเป็นต้น กล่าวตีราคาเอาตามความชอบใจ ทำให้เสียราคา. เพราะเขาดำรงอยู่ในตำแหน่ง เขากล่าวคำใด คำนั้นนั่นแลเป็นราคา. 

ครั้งนั้น พ่อค้าม้าคนหนึ่ง นำม้า ๕๐๐ ตัวมาจากแคว้นอุตตราปถะ พระราชารับสั่งให้เรียกบุรุษนั้นมาให้ตีราคาม้า บุรุษนั้นได้ตั้งราคาน้ำ ๕๐๐ ตัว ด้วยข้าวสารทะนานเดียว ก็แหละครั้นตีราคาแล้วจึงกล่าวว่า „ท่านทั้งหลายจงให้ข้าวสารหนึ่งทะนานแก่พ่อค้าม้าแล้วให้พักม้าไว้ในโรงม้า“. 

พ่อค้าม้าจึงไปยังสำนักของพนักงานตีราคาคนเก่า บอกเรื่องราวนั้นแล้วถามว่า „บัดนี้ ควรจะทำอย่างไร ?“ พนักงานตีราคาคนเก่านั้นกล่าวว่า „ท่านทั้งหลายจงให้สินบนแก่บุรุษนั้นแล้วถามอย่างนี้ว่า „ม้าทั้งหลายของพวกข้าพเจ้ามีราคาข้าวสารทะนานเดียวก่อน, ข้อนี้รู้กันแล้ว แต่ข้าพเจ้าประสงค์จะรู้ราคาของข้าวสารทะนานเดียว เพราะอาศัยท่านท่านจักอาจเพื่อยืนอยู่ในสำนักของพระราชาแล้วพูดว่า ข้าวสารหนึ่งทะนานนี้มีราคาชื่อนี้ ถ้าเขาพูดว่า จักอาจ พวกท่านจงพาเขาไปยังสำนักของพระราชา แม้เราก็จักไปในที่นั้น“. 

พ่อค้ารับคำพระโพธิสัตว์แล้ว ให้สินบนแก่นักตีราคาแล้วบอกเนื้อความนั้น. นักตีราคานั้นพอได้สินบนเท่านั้นก็กล่าวว่า „เราจักอาจตีราคาข้าวสารหนึ่งทะนานได้“. พ่อค้าม้ากล่าวว่า „ถ้าอย่างนั้น พวกเราจงพากันไปยังราชสกุล“ แล้วได้พานักตีราคานั้นไปยังสำนักของพระราชา. 

พระโพธิสัตว์ก็ดี อำมาตย์เป็นอันมากแม้เหล่าอื่นก็ดีได้พากันไปแล้ว. พ่อค้าม้าถวายบังคมพระราชาแล้วทูลถามว่า „ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ได้ทราบว่า ม้า ๕๐๐ ตัวมีราคา เท่าข้าวสารหนึ่งทะนาน, แต่ข้าวสารหนึ่งทะนานนี้มีราคาเท่าไร? ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์ได้โปรดถามพนักงานตีราคา พระเจ้าข้า“.

พระราชาไม่ทราบความเป็นไปนั้นจึงตรัสถามว่า „ท่านนักตีราคาผู้เจริญ ม้า ๕๐๐ ตัวมีราคาเท่าไร ?. พนักงานตีราคากราบทูลว่า „มีราคาข้าวสารหนึ่งทะนานพระเจ้าข้า“, 

พระราชาตรัสถามว่า „ช่างเถิด พนาย ม้าทั้งหลายมีราคาข้าวสารหนึ่งทะนานก่อน แต่ข้าวสารหนึ่งทะนานนั้น มีราคาเท่าไร ?“ บุรุษโง่ผู้นั้นกราบทูลว่า „ข้าวสารหนึ่งทะนานย่อมถึงค่าเมืองพาราณสี ทั้งภายในและภายนอก พะยะค่ะ“. 

 ได้ยินว่า ในกาลก่อน บุรุษโง่นั้นอนุวรรตตามพระราชา จึงได้ตีราคาม้าทั้งหลายด้วยข้าวสารทะนานหนึ่ง, พอได้สินบนจากมือของพ่อค้า กลับตีราคาเมืองพาราณสีทั้งภายในและภายนอก ด้วยข้าวสารหนึ่งทะนานนั้น. 

ก็ในกาลนั้น เมืองพาราณสีได้ล้อมกำแพงประมาณ ๑๒ โยชน์ แคว้นทั้งภายในและภายนอกเมืองพาราณสีนี้ประมาณ ๓๐๐ โยชน์. บุรุษโง่นั้นได้ตีราคาเมืองพาราณสีทั้งภายในและภายนอกอันใหญ่โตอย่างนี้ ด้วยข้าวสารหนึ่งทะนานฉะนี้.  พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น เมื่อจะถามจึงกล่าวคาถานี้ว่า :- 

„ข้าวสารหนึ่งทะนานมีราคาเท่าไร?  พระนครพาราณสีทั้งภายในภายนอกมีราคาเท่าไร?  ข้าวสารทะนานเดียว มีราคาเท่าม้า ๕๐๐ ตัวเที่ยวหรือ?“. 

อำมาตย์ทั้งหลายได้ฟังดังนั้น จึงพากันตบมือหัวเราะทำการเยาะเย้ยว่า „เมื่อก่อน พวกเราได้มีความสำคัญว่า „แผ่นดินและราชสมบัติ หาค่ามิได้" นัยว่า ราชสมบัติในเมืองพาราณสีพร้อมทั้งพระราชาอันใหญ่โตอย่างนี้ มีค่าเพียงข้าวสารทะนานเดียว, โอ! ความเพียบพร้อมของพนักงานตีราคาท่านเป็นพนักงานตีราคา ดำรงอยู่ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ณ ที่ไหนกันท่านเหมาะสมแก่พระราชาของพวกเราทีเดียว. ครั้งนั้น พระราชาทรงละอาย ให้ฉุดคร่าบุรุษโง่นั้นออกไปแล้วได้พระราชทานตำแหน่งพนักงานตีราคาแก่พระโพธิสัตว์ตามเดิม.

พระโพธิสัตว์ได้ไปตามยถากรรม.

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสเรื่อง ๒ เรื่องสืบอนุสนธิต่อกันไปแล้วทรงประชุมชาดกว่า พนักงานตีราคาผู้เป็นชาวบ้านโง่เขลาในกาลนั้นได้เป็นพระโลฬุทายีในบัดนี้ พนักงานตีราคาผู้เป็นบัณฑิต ในกาลนั้นได้เป็นเราเอง.

Credit: Palipage : Guide to Language - Pali

22. กุกฺกุรชาตกํ - ว่าด้วยสุนัขที่ถูกฆ่า , 21.  กุรุงฺคมิคชาตกํ - ว่าด้วยกวางกุรุงคะ , 20.  นฬปานชาตกํ  -  เหตุที่ไม้อ้อเป็นรูทะลุตลอด ,  19. อายาจิตภตฺตชาตกํ - ว่าด้วยการเปลื้องตน , 18.  มตกภตฺตชาตกํ - ว่าด้วยสัตว์ไม่ควรฆ่าสัตว์ , 17. มาลุตชาตกํ - ว่าด้วยความหนาวเกิดแต่ลม , 16. ติปลฺลตฺถมิคชาตกํ - ว่าด้วยเล่ห์กลลวงพราน , 15. ขราทิยชาตกํ - ว่าด้วยผู้ล่วงเลยโอวาท , 14.  วาตมิคชาตกํ - ว่าด้วยอำนาจของรส , 13. กณฺฑินชาตกํ - ว่าด้วยผู้ตกอยู่ในอำนาจหญิง , 12. นิคฺโรธมิคชาตกํ - ว่าด้วยการเลือกคบ , 11.  ลกฺขณมิคชาตกํ - ว่าด้วยผู้มีศีล , 10. สุขวิหาริชาตกํ - ว่าด้วยการอยู่เป็นสุข , 09. มฆเทวชาตกํ - ว่าด้วยเทวทูต , 08. คามณิชาตกํ  - ว่าด้วยไม่ใจเร็วด่วนได้ , 07. กฏฺฐหาริชาตกํ - ว่าด้วยพระเจ้ากัฏฐวาหนะ ,  06. เทวธมฺมชาตกํ  -  ว่าด้วยธรรมของเทวดา , 05. ตณฺฑุลนาฬิชาตกํ - ว่าด้วยราคาข้าวสาร,  04. จูฬเสฏฺฐิชาตกํ - ว่าด้วยคนฉลาดตั้งตนได้ , 03. เสริววาณิชชาตกํ - ว่าด้วยเสรีววาณิช , 02. วณฺณุปถชาตกํ - ว่าด้วยผู้ไม่เกียจคร้าน , 01. อปณฺณกชาตกํ - ว่าด้วยการรู้ฐานะและมิใช่ฐานะ 











Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: