คามณิชาตกํ - ว่าด้วยไม่ใจเร็วด่วนได้
"อปิ อตรมานานํ, ผลาสาว สมิชฺฌติ;
วิปกฺกพฺรหฺมจริโยสฺมิ, เอวํ ชานาหิ คามณีติ ฯ
เออก็ความหวังในผล ย่อมสำเร็จแก่ผู้ไม่ใจเร็วด่วนได้, เรามีพรหมจรรย์แก่กล้าแล้ว, ท่านจงเข้าใจอย่างนี้เถิด พ่อคามนี."
คามนิชาดกอรรถกถา
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเขตวันทรงปรารภภิกษุละความเพียร จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า อปิ อตรนานานํ ดังนี้.
ก็เรื่องปัจจุบันและเรื่องอดีตในชาดกนี้ จักมีแจ้งใน #สังวรชาดก เอกาทสนิบาต ก็ในสังวรชาดกนั้นและชาดกนี้เรื่องเป็นเช่นเดียวกันเที่ยว แต่คาถาต่างกัน มีความย่อว่า คามนิกุมารตั้งอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ แม้จะเป็นพระกนิษฐาของพระภาคาทั้งร้อยพระองค์ ก็เป็นผู้อันพระภาดาทั้งร้อยพระองค์ห้อมล้อม ประทับนั่งบนบัลลังก์อันประเสริฐ ภายใต้เศวตฉัตร ทอดพระเนตรดูยศสมบัติของพระองค์ทรงดีพระทัยว่า „ยศสมบัติของเรานี้ เป็นของอาจารย์เรา“ จึงทรงเปล่งอุทานนี้ว่า :-
„เออ ก็ความหวังในผล ย่อมสำเร็จแก่ผู้ไม่ใจเร็วด่วนได้, เรามีพรหมจรรย์แก่กล้าแล้ว, ท่านจงเข้าใจดังนี้เถิด พ่อคามนิ“.
บรรดาบทเหล่านั้นศัพท์ว่า อปิ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า อตรมานานํ ได้แก่ ผู้ตั้งอยู่ในโอวาทของบัณฑิตทั้งหลายไม่รีบด่วน กระทำการโดยอุบาย. บทว่า ผลาสาว สมิชฺฌติ ความว่า ความหวังในผลที่ปรารถนาไว้ชื่อว่าย่อมสำเร็จแน่ เพราะความสำเร็จผลนั้นอีกอย่างหนึ่ง.
บทว่า ผลาสา ได้แก่ ผลแห่งความหวัง คือ ผลตามที่ปรารถนาไว้ ย่อมสำเร็จทีเดียว. ในบทว่า วิปกฺกพฺรหฺม จริโยสฺมิ นี้ สังคหวัตถุ ๔ ชื่อว่าพรหมจรรย์เพราะเป็นความประพฤติอันประเสริฐ ก็พรหมจรรย์นั้นชื่อว่าแก่ กล้าแล้วทีเดียว เพราะได้เฉพาะยศสมบัติอันมีสังคหวัตถุนั้นเป็นมูล ยศที่สำเร็จแก่คามนิกุมารแม้นั้น ก็ชื่อว่าพรหมจรรย์ เพราะอรรถว่า ประเสริฐ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้มีพรหมจรรย์แก่กล้าแล้ว.
บทว่า เอวํ ชานาหิ คามนิ ความว่า ในที่บางแห่งบุรุษชาวบ้านก็ดี หัวหน้าชาวบ้านก็ดี ชื่อว่าคามนิ ผู้ใหญ่บ้าน แต่ในที่นี้ หมายเอาตนเองซึ่งเป็นหัวหน้าคนทั้งปวงจึงกล่าวว่า „ดูก่อนนายบ้านผู้เจริญ ท่านจงรู้เหตุนี้อย่างนี้ว่า เราก้าวล่วงพี่ชายร้อยคนได้รับราชสมบัติใหญ่นี้ เพราะอาศัยอาจารย์“ ดังนี้เปล่งอุทานแล้ว.
ก็เมื่อคามนิกุมารนั้นได้ราชสมบัติแล้ว เมื่อเวลาล่วงไป ๗-๘ วัน พี่ชายทุกคนได้ไปยังสถานที่อยู่ของตน ๆ, พระเจ้าคามนิครองราชสมบัติ โดยธรรมแล้วเสด็จไปตามยถากรรม ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทำบุญแล้วได้ไปตามยถากรรม.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้วทรงประกาศอริยสัจทั้งหลาย ในเวลาจบสัจจะภิกษุผู้ละความเพียรได้ดำรงอยู่ในพระอรหัตแล พระศาสดาตรัส ๒ เรื่องสืบอนุสนธิต่อกันแล้ว, ทรงประชุมชาดกว่า พระเจ้าคามนิกุมารในครั้งนั้นได้เป็นภิกษุผู้มีความเพียรอันสละแล้วนี้, ส่วนอาจารย์ คือเราเองแล.
ลำดับนี้จะได้นำสังวร(-มหาราช)ชาดกมาแสดงไว้เพื่อประโยชน์ต่อการศึกษาโดยยิ่งขึ้นไปดังนี้
สังวรชาดกอรรถกถา
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรงพระปรารภภิกษุทอดทิ้งความเพียรเสียแล้วรูปหนึ่ง ตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า ชานนฺโต โน มหาราชา ดังนี้.
เรื่องมีว่า ภิกษุนั้นเป็นกุลบุตรชาวพระนครสาวัตถี ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาบรรพชาได้อุปสมบทแล้ว บำเพ็ญอาจาริยวัตรและอุปัชฌายวัตร ท่องพระปาฏิโมกข์ทั้งสองจนคล่อง มีพรรษาครบ ๕ เรียนกรรมฐาน ลาอาจารย์และอุปัชฌาย์ว่า ผมจักอยู่ในป่า ไปถึงบ้านชายแดนตำบลหนึ่ง พวกคนต่างเลื่อมใสในอิริยาบถ พากันสร้างบรรณศาลาบำรุงอยู่ในบ้านนั้น ครั้นเข้าพรรษา ก็บำเพ็ญสืบสร้างพยายามจำเริญกรรมฐานตลอดไตรมาส ด้วยความเพียรอันปรารภแล้ว ไม่สามารถให้คุณแม้เพียงโอภาสบังเกิดได้ ดำริว่า „ในบุคคลสี่เหล่า ที่พระศาสดาทรงแสดงแล้ว เราคงเป็นประเภทปทปรมะเสียแน่แล้ว เราจะอยู่ป่าทำไม ไปพระเชตวัน คอยดูพระรูปพระโฉมของพระตถาคตเจ้า สดับธรรมเทศนาอันไพเราะ ยับยั้งอยู่เถอะ“.
เธอทอดทิ้งความเพียรออกจากบ้านนั้น ไปถึงพระเชตวันโดยลำดับ ถูกอาจารย์และอุปัชฌาย์ทั้งภิกษุที่เคยรู้จักมักคุ้น รุมถามถึงเหตุที่บังคับให้มา ก็บอกเรื่องนั้น ถูกภิกษุเหล่านั้นติเตียนว่า „เหตุไรคุณจึงทำอย่างนี้?“ นำตัวไปสู่สำนักพระศาสดา, เมื่อพระพุทธองค์ตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอพาภิกษุผู้ไม่ปรารถนามากันหรือ?“ กราบทูลว่า „ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุนี้ทอดทิ้งความเพียรมาแล้ว พระเจ้าข้า“.
พระศาสดาตรัสถามว่า „ที่เขาว่า น่ะจริงหรือ?“ เมื่อกราบทูลว่า „จริง พระเจ้าข้า“ ตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุ เหตุไรจึงทอดทิ้งความเพียรเสียล่ะ? ที่จริง ผลอันเลิศในพระศาสนานี้ ที่มีนามว่าอรหัตผลย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้เกียจคร้าน, ผู้มีความเพียรอันปรารภแล้วจึงจะชื่นชมอธิคมธรรมได้, ก็แลในปางก่อน เธอก็เป็นคนมีความเพียรทนต่อโอวาท, ด้วยเหตุนั้นแล แม้เป็นน้องสุดท้องแห่งโอรส ๑๐๐ ของพระเจ้าพาราณสี ตั้งอยู่ในโอวาทของบัณฑิตทั้งหลายก็ถึงเศวตฉัตร“, ได้ทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล พระโอรสสุดท้องนี้ได้ทรงยึดเหนี่ยวผูกน้ำใจฝูงชนผู้ถึงพระนครพาราณสีทั่วหน้า ด้วยสังคหวัตถุนั้น ๆได้เป็นที่รักที่เจริญใจของคนทั้งปวง. กาลต่อมา พวกอำมาตย์พากันกราบทูลถามพระราชาผู้ประทับนั่งเหนือพระแท่นที่สวรรคตว่า „ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้า ฯ เมื่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทสวรรคตไป พวกข้าพระพุทธเจ้าจักถวายเศวตฉัตรให้แก่ใคร พระเจ้าข้า“ พระองค์ตรัสสั่งว่า „พ่อเอ๋ย ลูกของฉันแม้ทั้งหมด เป็นเจ้าของเศวตฉัตรทั้งนั้น แต่ผู้ใดจับใจพวกเธอ พวกเธอก็ให้เศวตฉัตรแก่ผู้นั้นก็แล้วกัน“
ครั้นพระองค์สวรรคต พวกอำมาตย์นั้น จัดการถวายพระเพลิงพระศพของพระองค์เสร็จ ประชุมกันในวันที่ ๗ ตกลงกันว่า „พระราชารับสั่งไว้ว่า ผู้ใดจับใจเธอได้ พวกเธอพึงยกเศวตฉัตรให้แก่ผู้นั้น“ ก็แลพระสังวรกุมารพระองค์นี้จับใจพวกเราไว้ได้“ แล้วพากันยกเศวตฉัตรกาญจนมาลา แด่พระกุมารสังวรพระองค์นั้น พระเจ้าสังวรมหาราช ดำรงในโอวาทของพระโพธิสัตว์ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม.
พระกุมาร ๙๙ พระองค์นอกนั้นเล่า ต่างตรัสว่า „ข่าวว่า พระราชบิดาของพวกเราสวรรคตแล้ว, ได้ยินว่า „พวกอำมาตย์ยกเศวตฉัตรถวายแก่เจ้าสังวรกุมาร เธอเป็นน้องสุดท้อง ยังไม่ถึงเศวตฉัตรของพระบิดานั้น, พวกเราต้องยกเศวตฉัตรถวายพระพี่ใหญ่ทุกองค์มาร่วมกัน, ส่งหนังสือถึงพระเจ้าสังวรมหาราชว่า „จงให้ฉัตรแก่พวกเรา หรือไม่ก็รบกัน“ แล้วพากัน ล้อมพระนครไว้.
พระราชาตรัสบอกเรื่องนั้นแก่พระโพธิสัตว์แล้วตรัสถามว่า „คราวนี้พวกเราจะทำอย่างไร?“. กราบทูลว่า „ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์ไม่ต้องทำการรบกับพระเจ้าพี่เหล่านั้นดอก พระเจ้าข้า, พระองค์ทรงแบ่งพระราชทรัพย์ของพระบิดาออกเป็น ๙๙ ส่วน ส่งถวายแด่พระพี่เจ้า ๙๙ พระองค์“, ทรงส่งสาสน์ไปด้วยว่า „เชิญเจ้าพี่ทั้งหลายรับส่วนพระราชทรัพย์ของพระราชบิดาของเจ้าพี่นี้เถิด หม่อมฉันไม่ขอรบกับเจ้าพี่ดอก“. พระองค์ทรงกระทำอย่างนั้น.
ครั้งนั้น เจ้าพี่องค์ใหญ่ของพระองค์ พระนามว่าอุโบสถกุมาร ตรัสเรียกพระเจ้าน้องที่เหลือมาตรัสว่า „พ่อทั้งหลายผู้เป็นพระราชาก็ไม่มีผู้สามารถจะย่ำยีได้ อนึ่งเล่า เจ้าน้องของพวกเราองค์นี้ มิได้ตั้งตน แม้แต่จะเป็นศัตรูตอบ, ส่งพระราชสมบัติของบิดาให้พวกเรา ส่งสาส์นมาด้วยว่า „ฉันไม่ขอต่อรบกับเจ้าพี่" ก็แลพวกเราเล่าจักยกเศวตฉัตรขึ้นในขณะเดียวกันทุกคนไม่ได้, พวกเราให้เศวตฉัตรแก่เธอองค์เดียวก็แล้วกัน เจ้าน้องนี้เท่านั้นจงเป็นพระราชามาเถิด, เธอทั้งหลาย พวกเราพากันไปพบเธอมอบราชทรัพย์แล้วพากันไปสู่ชนบทของพวกเราดังเดิม“.
ครั้งนั้น พระกุมารแม้ทั้งหมดนั้น ก็ให้เปิดประตูเมือง มิได้เป็นศัตรูเลย พากันเข้าสู่พระนคร ฝ่ายพระราชาตรัสสั่งให้พวกอำมาตย์คุมสักการะ เพื่อพระกุมารเหล่านั้นทรงส่งสวนทางไป พระกุมารทรงพระดำเนินมาด้วยบริวารเป็นอันมาก ขึ้นสู่พระราชวังแสดงอาการนอบน้อมแด่พระเจ้าสังวรมหาราช พากันประทับนั่งเหนืออาสนะต่ำ พระเจ้าสังวรมหาราชทรงประทับนั่งเหนือสีหาสนะภายได้เศวตฉัตร พระยศใหญ่ พระสิริโสภาคอันใหญ่ได้ปรากฏแล้ว สถานที่ที่ทอดพระเนตรแล้ว ๆระยิบระยับไป.
พระอุโบสถกุมารทอดพระเนตรเห็นสิริสมบัติของพระเจ้าสังวรมหาราชแล้วทรงพระดำริว่า พระราชบิดาของพวกเราทรงทราบความที่สังวรกุมารได้ เป็นพระราชา เมื่อพระองค์ล่วงลับไป จึงประทานชนบทอื่น ๆ แก่พวกเรามิได้ประทานแก่สังวรกุมารนี้ เมื่อจะทรงปราศรัยกับพระเจ้าสังวรมหาราชนั้นได้ตรัสพระคาถา ๓ คาถาว่า :-
(๑) มหาราชาผู้เป็นจอมแห่งชนทรงทราบถึงพระศีลาจารวัตรของพระองค์ทรงยกย่องพระกุมารเหล่านี้ มิได้สำคัญพระองค์ด้วยชนบทอะไรเลย.
(๒) เมื่อพระมหาราชาผู้สมมติเทพ ยังทรงพระชนม์ อยู่ หรือทิวงคตแล้วก็ตาม พระประยูรญาติผู้เห็น ประโยชน์ตนเป็นสำคัญ พากันยอมรับนับถือพระองค์.
(๓) ข้าแต่พระเจ้าสังวรราช ด้วยพระศีลาจารวัตร ข้อไหน พระองค์จึงสถิตอยู่เหนือพระเชษฐภาดาผู้ทรงร่วมกำเนิดได้ ด้วยพระศีลาจารวัตรข้อไหน หมู่ พระญาติที่ประชุมกันแล้วจึงไม่ย่ำยีพระองค์ได้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชานนฺโต โน แปลว่า ทรงทราบแน่นอนอยู่. บทว่า ชนาธิโป ความว่า พระจอมนรชนผู้พระราชบิดาของพวกหม่อมฉัน. บทว่า อิเม ได้แก่ ซึ่งพระกุมาร ๙๙ พระองค์เหล่านี้. แต่ในคัมภีร์พระบาลีทั้งหลายท่านเขียนไว้ว่า กุมารเหล่าอื่น.
บทว่า ปูเชนฺโต ความว่า ทรงยกย่องด้วยชนบทนั้น ๆ. บทว่า น ตํ เกนจิ ความว่า แต่มิได้ทรงสำคัญพระองค์ว่า ควรจะทรงเชิดชู แม้ด้วยชนบทน้อย ๆเลย ชะรอยจะทรงทราบถึงพระองค์ว่า ผู้นี้เมื่อเราล่วงลับไป จักได้เป็นพระราชา จึงให้ประทับอยู่แทบบาทมูลของตน.
บทว่า ติฏฺฐนฺเต โน ความว่า ไม่ว่า จะเป็นเมื่อพระมหาราชผู้สมมติเทพยังทรงพระชนม์อยู่. พระองค์ตรัสถามด้วยบทว่า นุ แปลว่า มิใช่หรือ. บทว่า อาทู เทเว ความว่า หรือว่า เมื่อพระบิดาของพวกเราเสด็จทิวงคต หมู่พระญาติกับชาวนิคมชาวชนบทที่เป็นข้าราชการเห็นประโยชน์คือความเจริญของตน ต่างยอมรับนับถือพระองค์ว่า เป็นพระราชาเถิด ด้วยพระศีลาจารวัตรไรเล่า.
บทว่า สญฺชาเต อภิติฏฺฐสิ ความว่า พระองค์ทรงครอบงำพระญาติผู้มีกำเนิดเสมอกัน คือพระภาดา ๙๙ พระองค์เสีย ประทับอยู่ได้. บทว่า นาติวตฺตนฺติ ความว่า พระญาติเหล่านั้นพากันครอบงำพระองค์มิได้.
พระเจ้าสังวรมหาราชทรงสดับพระดำรัสนั้น เมื่อทรงแถลงพระคุณของพระองค์ได้ตรัสคาถา ๖ คาถาว่า :-
(๔) ข้าแต่พระราชบุตร หม่อมฉันมิได้ริษยาสมณะทั้งหลายผู้แสวงหาคุณอันใหญ่หลวง หม่อมฉันนอบ น้อมท่านเหล่านั้นโดยเคารพไหว้เท้าของท่านผู้คงที่.
(๕) สมณะเหล่านั้นยินดีแล้วในธรรมของผู้แสวงหา คุณย่อมพร่ำสอนหม่อมฉันผู้ประกอบในคุณธรรมผู้พอใจฟัง ไม่มีความริษยา.
(๖) หม่อมฉันได้ฟังคำของสมณะ ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่หลวงเหล่านั้นแล้ว มิได้ดูหมิ่นสักน้อยหนึ่งเลย ใจของหม่อมฉันยินดีแล้วในธรรม.
(๗) กองพลช้าง กองพลม้า กองพลรถและกอง พลเดินเท้า หม่อมฉันไม่ตัดเบี้ยเลี้ยงและบำเหน็จบำนาญของจตุรงคเสนาเหล่านั้นให้ลดน้อยลง.
(๘) อำมาตย์ผู้ใหญ่และข้าราชการผู้มีปรีชาของฉัน มีอยู่ ช่วยกันบำรุงพระนครพาราณสีให้มีเนื้อมาก มีน้ำดี.
(๙) อนึ่ง พวกพ่อค้าผู้มั่งคั่งมาแล้วจากรัฐต่าง ๆหม่อมฉันช่วยจัดอารักขาให้พ่อค้าเหล่านั้นขอได้โปรด ทราบอย่างนี้เถิด เจ้าพี่อุโบสถ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ราชปุตฺต ความว่า ข้าแต่พระราชบุตรหม่อมฉันมิได้กีดกันใคร ๆเลยว่า สมบัติอย่างนี้ จงอย่ามีแก่ผู้นี้.
บทว่า ตาทินํ ความว่า หม่อมฉันกราบไหว้บาทยุคลแห่งหมู่สมณะผู้ทรงธรรม ผู้ประกอบด้วยลักษณะอันคงที่ได้นามว่าสมณะ เพราะท่านสงบบาปได้แล้วได้นามว่าผู้แสวงหาคุณอันใหญ่หลวง เพราะท่านแสดงคุณมีศีลขันธ์เป็นต้นอันใหญ่ ด้วยเบญจางประดิษฐ์ เมื่อจะให้ทานและเมื่อจะจัดการคุ้มครองป้องกันอันชอบธรรมแด่ท่านเหล่านั้นก็นอบน้อมท่านเหล่านั้นโดยเคารพคือบูชาอย่างใจรักใคร่ทีเดียว.
บทว่า เต มํ ความว่า สมณะเหล่านั้นรู้จักหม่อมฉันโดยถ่องแท้ว่า กุมารนี้ขวนขวายในส่วนแห่งธรรม รับฟังด้วยดี มิได้มีความริษยาก็พากันพร่ำสอนหม่อมฉัน ผู้ประกอบด้วยธรรมคุณรับฟังด้วยดี ไม่ริษยาคือพากันให้โอวาทว่า กระทำข้อนี้ อย่ากระทำข้อนี้.
บทว่า เตสาหํ ตัดบทเป็น เตสํ อหํ. บทว่า หตฺถาโรหา ความว่า พวกพลช้าง คือนักรบที่ขึ้นช้างรบ. บทว่า อนีกฏฺฐา ความว่า ตั้งอยู่ในกองทัพช้างเป็นต้น. บทว่า รถิกา ได้พลรถ (นักรบขี่รถ).
บทว่า ปตฺติการกา ได้แก่ พวกพลรบเดินเท้า. บทว่า นิพฺพิตฺถํ ความว่า สินจ้างรางวัลอันใดที่พวกเหล่านั้นจัดเตรียมไว้หม่อมฉันมิได้ลดหย่อนสิ้นจ้างรางวัลนั้น คือให้อย่างไม่ต้องลดเลย.
บทว่า มหามตฺตา ความว่า ข้าแต่พี่ชาย หมู่มหาอำมาตย์ ผู้มีปัญญามาก คือ ผู้ฉลาดในมนต์ทั้งหลายและผู้บำรุงอันมีความคิดอ่านที่เหลือ ของหม่อมฉันมีอยู่ หม่อมพี่ไม่ได้อาจารย์ผู้สมบูรณ์ด้วยความคิดเป็นบัณฑิต แต่อาจารย์ของหม่อมฉันเป็นบัณฑิต ฉลาดในอุบายท่านเหล่านั้นเกี่ยวโยงหม่อมฉันไว้ด้วยเศวตฉัตร.
บทว่า พาราณสี ความว่า ข้าแต่พี่ จำเดิมแต่กาลที่ยกฉัตรถวายแก่หม่อมฉันแล้วท่านพวกนั้น ต่างรู้ถึงมัจฉมังสาหารที่ควรเคี้ยวกินและน้ำดี ๆก็ควรดื่ม อันจะมีในพระนครพาราณสีว่า พระราชาของพวกเราทรงธรรม ฝนย่อมตกทุก ๆกึ่งเดือน ข้าวกล้าต่าง ๆย่อมสมบูรณ์. ด้วยอาการอย่างนี้ ชาวพระนครก็พากันอยู่กระทำพระนครพาราณสีให้มีมัจฉมังสาหารและน้ำท่ามากมาย.
บทว่า ผีตา ความว่า พวกพ่อค้าผู้ไม่ถูกประทุษร้าย นำช้างแก้ว ม้าแก้วและแก้วมุกดาเป็นต้นมาทำการค้า พากันมั่งคั่งร่ำรวยไปตามกัน. บทว่า เอวํ ชานาหิ ความว่า ข้าแต่พี่อุโปสถ ด้วยเหตุเหล่านี้เพียงเท่านี้ หม่อมฉันถึงจะเป็นน้องสุดท้อง ก็ครอบงำพี่ทั้งหลายของหม่อมฉัน ถึงเศวตฉัตรได้ โปรดทรงทราบด้วยประการฉะนี้.
พระอุโบสถกุมารทรงสดับพระคุณของพระองค์แล้วได้ตรัสพระคาถา ๒ คาถาว่า :-
(๑๐) ข้าแต่พระเจ้าสังวรราช ได้ยินว่า พระองค์ทรงครอบครองราชสมบัติแห่งหมู่พระญาติโดยธรรม พระองค์เป็นผู้มีพระปรีชาด้วยเป็นบัณฑิตด้วยทั้งทรงเกื้อกูลพระประยูรญาติด้วย.
(๑๑) ศัตรูทั้งหลายย่อมไม่เบียดเบียนพระองค์ ผู้แวดล้อมไปด้วยพระประยูรญาติทรงพร้อมมูลด้วยรัตนะต่าง ๆเหมือนจอมอสูรไม่เบียดเบียนพระอินทร์ฉะนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺเมน กิร ความว่า ข้าแต่พระสังวรมหาราช ได้ยินว่า พระองค์ทรงครอบงำอานุภาพแห่งญาติคือพระเชษฐภาดาทั้งหลายของพระองค์ทั้ง ๙๙ คนเสีย จำเดิมแต่นี้ เชิญพระองค์นั้นแลทรงครองราชสมบัติโดยธรรมเถิด พระองค์เล่า ก็ทรงหลักแหลมทั้งเป็นบัณฑิตและยังเกื้อกูลแก่หมู่ญาติ.
บทว่า ตํ ตํ ได้แก่ ซึ่งพระองค์ผู้ทรงสมบูรณ์ด้วยคุณต่าง ๆอย่างนี้. บทว่า ญาติปริพฺยุฬฺหํ ความว่า ผู้อันหม่อมฉันผู้เป็นญาติ๙๙ คน แวดล้อม. บทว่า นานารตนโมจิตํ ความว่า ทรงพร้อมมูลมั่งคั่งด้วยนานารัตนะ คือทรงสั่งสมรัตนะไว้มากมาย.
บทว่า อสุราธิโป ความว่า เปรียบเหมือนอสุรราชไม่ย่ำยีพระอินทร์ ผู้อันเทพเจ้าชั้นดาวดึงส์แวดล้อมแล้ว ฉันใด หมู่มิตรจะไม่ย่ำยีพระองค์ ผู้อันพวกหม่อมฉันคอยป้องกันแวดล้อมแล้วทรงครองราชสมบัติ ณ พระนครพาราณสี มีบริเวณ ๑๒ โยชน์ในแคว้นกาสีอันมีอาณาเขต ๓๐๐ โยชน์ ฉันนั้น. พระเจ้าสังวรมหาราชทรงประทานยศใหญ่ แด่พระเจ้าพี่ทุกพระองค์.
พระเจ้าพี่เหล่านั้นประทับอยู่ในสำนักของพระองค์ตลอดกึ่งเดือน กราบทูลว่า „ข้าแต่พระมหาราช พวกหม่อมฉัน จักคอยระวังพวกโจรที่กำเริบขึ้นในชนบททั้งหลาย เชิญพระองค์ทรงเสวยสุขในราชสมบัติเถิด“ แล้วเสด็จไปสู่ชนบทของตน ๆ.
พระราชาทรงดำรงในโอวาทของพระโพธิสัตว์ในที่สุดแห่งพระชนมายุได้ไปเพิ่มเทพนครให้เต็ม.
พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสย้ำว่า „ดูก่อนภิกษุ ครั้งก่อน เธอทนต่อโอวาทเช่นนี้ บัดนี้ เหตุไรไม่กระทำความเพียร“, ทรงประกาศสัจจะในเวลาจบสัจจะภิกษุนั้นดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล, ทรงประชุมชาดกว่า „สังวรกุมารผู้เป็นพระราชาในครั้งนั้นได้มาเป็นภิกษุนี้ อุโบสถกุมารได้มาเป็นสารีบุตร เจ้าพี่ที่เหลือได้เป็นเถรานุเถระและบริษัทได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วนอำมาตย์ผู้ถวายโอวาทได้มาเป็นเราตถาคตแล“.
Credit: Palipage : Guide to Language - Pali
22. กุกฺกุรชาตกํ - ว่าด้วยสุนัขที่ถูกฆ่า , 21. กุรุงฺคมิคชาตกํ - ว่าด้วยกวางกุรุงคะ , 20. นฬปานชาตกํ - เหตุที่ไม้อ้อเป็นรูทะลุตลอด , 19. อายาจิตภตฺตชาตกํ - ว่าด้วยการเปลื้องตน , 18. มตกภตฺตชาตกํ - ว่าด้วยสัตว์ไม่ควรฆ่าสัตว์ , 17. มาลุตชาตกํ - ว่าด้วยความหนาวเกิดแต่ลม , 16. ติปลฺลตฺถมิคชาตกํ - ว่าด้วยเล่ห์กลลวงพราน , 15. ขราทิยชาตกํ - ว่าด้วยผู้ล่วงเลยโอวาท , 14. วาตมิคชาตกํ - ว่าด้วยอำนาจของรส , 13. กณฺฑินชาตกํ - ว่าด้วยผู้ตกอยู่ในอำนาจหญิง , 12. นิคฺโรธมิคชาตกํ - ว่าด้วยการเลือกคบ , 11. ลกฺขณมิคชาตกํ - ว่าด้วยผู้มีศีล , 10. สุขวิหาริชาตกํ - ว่าด้วยการอยู่เป็นสุข , 09. มฆเทวชาตกํ - ว่าด้วยเทวทูต , 08. คามณิชาตกํ - ว่าด้วยไม่ใจเร็วด่วนได้ , 07. กฏฺฐหาริชาตกํ - ว่าด้วยพระเจ้ากัฏฐวาหนะ , 06. เทวธมฺมชาตกํ - ว่าด้วยธรรมของเทวดา , 05. ตณฺฑุลนาฬิชาตกํ - ว่าด้วยราคาข้าวสาร, 04. จูฬเสฏฺฐิชาตกํ - ว่าด้วยคนฉลาดตั้งตนได้ , 03. เสริววาณิชชาตกํ - ว่าด้วยเสรีววาณิช , 02. วณฺณุปถชาตกํ - ว่าด้วยผู้ไม่เกียจคร้าน , 01. อปณฺณกชาตกํ - ว่าด้วยการรู้ฐานะและมิใช่ฐานะ
0 comments: