วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

กุณฺฑปูวชาตกํ - ว่าด้วยมีอย่างไรกินอย่างนั้น

กุณฺฑปูวชาตกํ - ว่าด้วยมีอย่างไรกินอย่างนั้น

"ยถนฺโน  ปุริโส  โหติ,      ตถนฺนา  ตสฺส  เทวตา;

อาหเรตํ  กุณฺฑปูวํ,        มา  เม  ภาคํ  วินาสยาติ ฯ

บุรุษกินอย่างไร เทวดาของบุรุษนั้นก็กินอย่างนั้น ท่านจงนำเอาขนมรำ นั้นมา อย่าให้ส่วนของเราเสียไปเลย."

กุณฑกปูวชาดกอรรถกถา (เศรษฐีขนมรำ)

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระนครสาวัตถีทรงปรารภบุรุษผู้เข็ญใจอย่างหนัก ตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า  ยถนฺโน  ปุริโส  โหติ  ดังนี้.

ความพิสดารว่า ในพระนครสาวัตถี บางครั้งสกุลเพียงสกุลเดียวเท่านั้น ถวายทานแต่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข บางครั้งสามสี่ตระกูลรวมกัน บางครั้งด้วยความร่วมมือกันเป็นคณะ บางครั้งด้วยความร่วมใจกันของผู้ที่อยู่ร่วมถนน บางครั้งรวมคนที่มีฉันทะความพอใจหมดทั้งเมือง ถวายทานแต่พระสงฆ์มีพระพุทธองค์เป็นประมุข ก็ในครั้งนั้น มีภัตรที่ชื่อว่าวิถีภัตร (คือการถวายภัตตาหารของผู้ที่อยู่ร่วมถนนกัน)ได้มีขึ้น.  ครั้งนั้น พวกมนุษย์ กล่าวเชิญชวนกันว่า „เชิญท่านทั้งหลายถวายข้าวยาคู นำของขบเคี้ยวมาถวายแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธองค์เป็นประมุขกันเถิด."

ในกาลนั้น ยังมีลูกจ้างของคนเหล่าอื่นผู้หนึ่ง เป็นคนยากจนอยู่ในถนนนั้น คิดว่า „เราไม่อาจถวายข้าวยาคู“ ได้ของขบเคี้ยวพอจัดถวายได้แล้วนวดรำชนิด ละเอียด ให้ชุ่มด้วยน้ำ ห่อด้วยใบรัก เผาในกองเถ้า คิดว่า „เราจักถวายขนมนี้แด่พระพุทธเจ้า“ ถือขนมนั้นไปยืนอยู่ในสำนักพระศาสดา, พอพระศาสดาตรัสครั้งเดียวว่า „พวกท่านจงนำของขบเคี้ยวมาเถิด„ ก็ไปก่อนคนทั้งปวง ใส่ขนมนั้นในบาตรของพระศาสดาแล้วยืนอยู่ พระศาสดาไม่ทรงรับของขบเคี้ยวที่คนอื่น ๆ ถวาย, ทรงเสวยของขบเคี้ยว คือขนมนั้นเท่านั้น.  ในขณะนั้นเองทั่วทั้งพระนครก็ได้มีเสียงลือตลอดไปว่า „ได้ยินว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงรังเกียจของขบเคี้ยวทำด้วยรำ ของมหาทุคคตบุรุษทรงเสวยเหมือนเสวยอมฤต ฉะนั้น“

อิสสรชนมีพระราชาและมหาอำมาตย์แห่งพระราชาเป็นต้นโดยที่สุดตลอดถึงคนเฝ้าประตู ประชุมกันทั้งหมดทีเดียว ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว เข้าไปหามหาทุคคตบุรุษ พากันกล่าวว่า „พ่อมหาจำเริญ เชิญพ่อรับเอาทรัพย์ร้อยหนึ่ง สองร้อย ห้าร้อยแล้วให้ส่วนบุญแก่พวกเราเถิด.“  เขาตอบว่า ต้องกราบทูลสอบถามแล้วถึงจะรู้แล้วไปสู่สำนักของพระศาสดากราบทูลเนื้อความนั้น พระศาสดาตรัสว่า „ท่านจงรับทรัพย์แล้วให้ส่วนบุญแก่สรรพสัตว์เถิด“ เขาเริ่มรับทรัพย์ พวกมนุษย์พากันให้ด้วยการ ประมูล เป็นทวีคูณ จตุรคูณและอัฏฐคูณเป็นต้นได้ให้ทรัพย์กันถึงเก้าโกฏิ.

พระศาสดาทรงกระทำอนุโมทนาแล้วเสด็จไปวิหาร เมื่อพวกภิกษุแสดงวัตตปฏิบัตติถวายแล้ว ประทานพระสุคโตวาท เสด็จเข้าพระคันธกุฎี เวลาเย็นวันนั้น พระราชารับสั่งให้มหาทุคคตบุรุษเข้าเฝ้าทรงบูชาด้วยตำแหน่งเศรษฐี.   พวกภิกษุตั้งเรื่องสนทนากันในโรงธรรมว่า „ท่านผู้มีอายุทั้งหลายพระศาสดามิได้ทรงรังเกียจขนมรำ ที่มหาทุคคตบุรุษถวายเลยทรงเสวยเหมือนอมฤต ฝ่ายมหาทุคคตบุรุษเล่าได้ทั้งทรัพย์จำนวนมากได้ทั้งตำแหน่งเศรษฐี ถึงสมบัติอันยิ่งใหญ่แล้ว.“

พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ?“ เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่เราไม่รังเกียจ บริโภคขนมรำของเขา ถึงครั้งที่เป็นรุกขเทวดาในกาลก่อน ก็เคยบริโภคเหมือนกัน, แม้ในครั้งนั้นเล่า เขาก็อาศัยเราได้ตำแหน่งเศรษฐีเหมือนกัน“ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีต มาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นเทวดา สถิต ณ ต้นละหุ่งต้นหนึ่ง ครั้งนั้น พวกมนุษย์ในหมู่บ้านนั้น พากันยึดเอารุกขเทวดาเป็นมงคล เมื่อถึงงานมหรสพคราวหนึ่ง พวกมนุษย์ต่างพากันกระทำพลีกรรมแก่รุกขเทวดาของตน ๆ

ครั้งนั้น มีทุคคตมนุษย์ผู้หนึ่ง เห็นคนเหล่านั้นพากันปรนนิบัติรุกขเทวดาก็ปฏิบัติต้นละหุ่งต้นหนึ่ง ผู้คนทั้งหลายพากันถือเอาดอกไม้ของหอม เครื่องลูบไล้และของขบเคี่ยวของบริโภคเป็นต้นนานัปการไป เพื่อเทวดาทั้งหลายของตน.   ฝ่ายเขามีแต่ขนมรำก็ถือไปพร้อมกระบวยใส่น้ำ หยุดยืนไม่ไกลต้นละหุ่ง คิดว่า „ธรรมดาย่อมเสวยแต่ของขบเคี้ยวอันเป็นทิพย์ เทวดาคงจักไม่เสวยขนมรำนี้ของเรา เราจะยอมให้ขนมเสียหายไปด้วยเหตุนี้ทำไม, เรานั่นแหละจักกินขนมนั้นเสียเอง“ แล้วก็หวลกลับไปจากที่นั้น.   พระโพธิสัตว์ สถิตเหนือค่าคบกล่าวว่า „บุรุษผู้เจริญ หากท่านเป็นใหญ่เป็นโต ก็ต้องให้ของขบเคี้ยวที่อร่อยแก่เรา, แต่ท่านเป็นทุคคตะ เราไม่กินขนมของท่านแล้ว จักกินขนมอื่นได้อย่างไร, อย่าให้ส่วนของเราต้องเสียหายไปเลย“ แล้วกล่าวคาถานี้ว่า :-

„บุรุษกินอย่างไร เทวดาของบุรุษก็กินอย่างนั้น, ท่านจงเอาขนมรำนั้นมา, อย่าให้ส่วน ของเราเสียไปเลย.“

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า  ยถนฺโน  ความว่า คนบริโภคอย่างใด.   บทว่า  ตถนฺนา  ความว่า แม้เทวดาของคนผู้นั้นก็บริโภคอย่างนั้นเหมือนกัน.   บทว่า  อาหเรตํ  กุณฺฑปูวํ  ความว่า ท่านจงนำเอาขนมที่ ทำด้วยรำนั้นมาเถิด อย่าทำลายส่วนได้ของเราเสียเลย.

เขาหันกลับมามองพระโพธิสัตว์แล้วกระทำพลีกรรม พระโพธิสัตว์ก็บริโภคโอชา จากขนมนั้นแล้วกล่าวว่า „ดูก่อนบุรุษท่านปฏิบัติเราเพื่อต้องการอะไร ?“  เขากล่าวว่า "ข้าแต่ท่านผู้เป็นใหญ่ข้าพเจ้าเป็นคนเข็ญใจ มาปรนนิบัติ ก็ด้วยหมายใจว่า จะอาศัยท่านแล้วพ้นจากความเป็นทุคคตะ.“

พระโพธิสัตว์กล่าวว่า „ดูก่อนบุรุษผู้เจริญท่านอย่าคิดเสียใจไปเลย, ท่านทำการบูชาเราผู้มีกตัญญูกตเวที, รอบต้นละหุ่งนี้ มีหม้อใส่ขุมทรัพย์ตั้งไว้เรียงราย จวบจนจรดถึงคอ, ท่านจงกราบทูลพระราชา เอาเกวียนมาขนทรัพย์ กองไว้ ณ ท้องพระลานหลวง, พระราชาก็จักโปรดปรานประทานตำแหน่งเศรษฐีแก่ท่าน.“

ครั้นบอกแล้วพระโพธิสัตว์ก็อันตรธานไป เขาได้กระทำตามนั้น แม้พระราชาก็โปรดประทานตำแหน่งเศรษฐีแก่เขา. เขาอาศัยพระโพธิสัตว์ถึงสมบัติอันใหญ่หลวงแล้วไปตามยถากรรมด้วยประการฉะนี้.

พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประชุมชาดกว่า ทุคคตบุรุษในครั้งนั้น มาเป็นทุคคตบุรุษในครั้งนี้ส่วนเทวดาผู้สิงอยู่ ณ ต้นละหุ่งได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล. 

ที่มา : Palipage : Guide to Language - Pali


Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: