สภาวะจิตของคนที่พ้นทุกข์แล้ว
[ณ นครสาวัตถี พระพุทธเจ้าได้กล่าวกับเหล่าภิกษุว่า]
พ: ผู้ที่พ้นทุกข์ทั้งหลายเป็นผู้เลิศ ประเสริฐสุดในโลกกว่าสัตว์ทุกชั้นภพ ผู้ที่พ้นทุกข์เป็นผู้มีความสุข เพราะไม่มีความอยาก (ตัณหา) ตัดความถือตัวว่าเป็นเราเป็นนั่นเป็นนี่ได้เด็ดขาด (อัสมิมานะ) ทำลายข่ายคลุมคือความหลง (โมหะ) ได้แล้ว ผู้ที่พ้นทุกข์ไม่มีความกลัว จิตไม่ขุ่นมัว ไม่แปดเปื้อนด้วยตัณหาและความเห็น (ทิฐิ) ในโลก ไม่มีกิเลสที่ฝังอยู่ในจิต (อาสวะ)
สติรู้ร่างกาย ความรู้สึก ความจำ ความคิด และความรับรู้ (ขันธ์ 5) มีศรัทธา มีความละอายแก่ใจ มีความเกรงกลัวต่อบาป เรียนมากฟังมาก มีความเพียร มีสติตั้งมั่น และมีปัญญา (สัทธรรม 7)
มีสติระลึกรู้ มีการศึกษาค้นคว้าธรรมะ มีความเพียร มีปิติ มีความสงบเย็นกายใจ มีสมาธิ ใจตั้งมั่น ไม่มีสิ่งรบกวน และวางใจเป็นกลางเพราะเห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง (รัตนะ 7 หรือโพชฌงค์ 7 = ปัจจัยที่ทำให้ตรัสรู้ได้)
ท่านมีร่างกายนี้เป็นครั้งสุดท้าย หลุดพ้นจากภพใหม่ ถึงภูมิของผู้ที่พ้นทุกข์ ชนะเด็ดขาดแล้วในโลก.
ที่มา: เรียบเรียงจากพระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ 27 (พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ภาค 3 อรหันตสูตร ข้อ 152), 2559, น.167-168
0 comments: