พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “ความทุกข์มีหลายรูปแบบ จะเป็นแบบใดแบบหนึ่งก็ตามในโลกนี้ ความทุกข์เหล่านี้เกิดมาจากอุปธิ”
อุปธิ คือสภาพที่เข้าไปทรงไว้ซึ่งทุกข์ หมายถึง สภาพธรรมที่เป็นที่อาศัยแห่งทุกข์หรือเป็นมูลเหตุให้เกิดทุกข์ ได้แก่
๑. กามูปธิ สภาพที่เป็นมูลแห่งทุกข์คือกาม กามทั้งหลายนั้นเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ยากในการแสวงหา เป็นเหตุแห่งการฆ่าฟันกัน เป็นเหตุให้ทำทุจริต เป็นเหตุให้ไปสู่อบายภูมิ
๒. ขันธูปธิ สภาพที่เป็นมูลแห่งทุกข์คือขันธ์ ขันธ์ทั้งหลายนั้นไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ทำให้มีความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นที่ตั้งแห่งทุกข์โดยประการต่างๆ
๓. กิเลสูปธิ สภาพที่เป็นมูลแห่งทุกข์คือกิเลส กิเลสนั้นเป็นเหตุให้ทำอกุศลกรรม ซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลวิบากที่เป็นทุกข์ และทำให้วนเวียนไปในสังสารทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุด
๔. อภิสังขารูปธิ สภาพที่เป็นมูลแห่งทุกข์คืออภิสังขาร ปุญญาภิสังขารคือกุศลกรรมก็ดี อปุญญาภิสังขารคืออกุศลกรรมก็ดี และอเนญชาภิสังขารคือฌานกุศลก็ดี เป็นเหตุให้เกิดวิบาก ทำให้มีการเกิดและเป็นไปในภพต่างๆ ซึ่งเป็นทุกข์ในสังสารวัฏ
เพราะฉะนั้น ทุกข์ทั้งหลายย่อมเกิดเพราะอุปธิเป็นเหตุ ผู้ใดไม่รู้แจ้งดังนี้ ผู้นั้นย่อมถูกทุกข์บีบคั้นให้ได้รับความลำบาก ส่วนบุคคลผู้รู้อยู่โดยนัยเป็นต้นว่า “สังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น” หรือหมั่นพิจารณาเนืองๆว่า “ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายอันเป็นทุกข์นั้น ล้วนเกิดขึ้นจากอุปธินั่นเอง” บุคคลนั้นจะไม่ทำอุปธิ ที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ฯ
สาระธรรมจากพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ (เมตตคูมาณวกปัญหา)
พระมหาวัชระ เชยรัมย์ (ติกฺขญาโณ)
3/7/64
0 comments: