การเกิด - การ ดั บ ทางนามธรรม หรือทางจิตใจ สิ่งที่ปุถุชนคนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จัก
“การเกิดนั้น คนธรรมดาสามัญทั่วไปก็รู้จักแต่การเกิดจากท้องมารดา หรือเกิดจากแม่ ( เช่นการเกิดของสัตว์เดรัจฉาน การเกิดของมนุษย์ ) รู้จักแต่การเกิดจากท้องแม่ เช่นนี้เรียกว่ารู้จักการเกิดแต่ในทางวัตถุ เท่านี้ยังไม่พอ จะต้องมีความรู้จักการเกิดซึ่งสำคัญกว่านั้นหรือมีปัญหามากกว่านั้น การเกิดที่มีปัญหาหรือมีความสำคัญนั้น ได้แก่ การเกิดของ “ความรู้สึกในทางจิตใจ”
สิ่งที่เรียกว่าร่างกายและจิตใจนี้ อาศัยซึ่งกันและกันตั้งอยู่เพื่อทำหน้าที่ของมัน เช่น รับอารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือทางใจเอง แล้วก็มีการปรุงแต่งให้เป็นความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา ในทางที่จะให้เกิดความรู้สึกว่า “เรา”(ตัวกู) หรือ “ของเรา”(ของกู) นี่เพราะว่า สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นไม่เคยได้ยินได้ฟังธรรมของพระอริยเจ้า ที่แสดงให้ทราบว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเราหรือเป็นตัวเรา สัตว์เหล่านั้นถือเอาแต่ความรู้สึกของตนเอง เกิดรู้สึกไปตามธรรมชาติธรรมดาคนสามัญ ดังนั้น จึงได้เกิดความรู้สึกเป็นไปในทำนองว่า สิ่งนี้ถูกใจ หรือ ไม่ถูกใจ
เมื่อมีความถูกใจ ก็เกิดความรักเกิดความอยากอย่างนั้นอย่างนี้ ในสิ่งเหล่านั้น เมื่อมีความอยากอย่างนั้นอย่างนี้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นแล้ว ก็มีความรู้สึกเป็น “ตัวฉัน”(ตัวกู) ขึ้นมา ซึ่งเป็นผู้ที่จะได้หรือจะเสีย เมื่อมีความรู้สึกเป็นตัวฉันขึ้นมาโดยสมบูรณ์อย่างนี้แล้ว ก็เรียกว่ามี “การเกิด” ในทางนามธรรมหรือทางจิตใจ เป็นตัวเราเป็นตัวฉัน(ตัวกู)ขึ้นมาแล้ว แม้อย่างนี้ก็เรียกว่า “การเกิด” ด้วยเหมือนกัน
ถ้าเป็นกรณีที่ไม่ถูกใจ ก็เกิดความอยากไปในทำนองที่ตรงกันข้าม เช่น อยากจะทำลายเสีย หรือว่าอยากจะไม่ประสบพบเห็นเป็นต้น เกิดความรู้สึก “อยาก” อย่างนี้ขึ้นมาแล้ว ก็เป็นความรู้สึกที่เรียกว่าเป็น “ตัวฉัน”(ตัวกู) คือ ฉันจะต้องประสบกับสิ่งนี้ ฉันไม่ต้องการสิ่งนี้ ฉันอยากจะทำลายสิ่งนี้ หรือไปให้พ้นเสีย นี่ก็เป็นความรู้สึกที่เป็น “ฉัน” ขึ้นมา เรียกว่าเป็นการเกิดในทางนามธรรมหรือทางจิตใจด้วยเหมือนกัน.
ดังนั้น จะต้องสังเกตดูให้ดีว่า สิ่งที่กระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือทางใจเอง เป็นต้น เหล่านี้ไม่ว่าจะให้เกิดความรู้สึกที่พอใจหรือไม่พอใจก็ตาม ย่อมเป็นสิ่งที่จะให้เกิดความรู้สึกว่า “ตัวฉัน”(ตัวกู) ได้ด้วยกันทั้งนั้น นี่ก็หมายความว่า มันให้เกิดตัวฉันได้ ทำให้มีการเกิดได้ด้วยกันทั้งนั้น นี่เป็นความเกิดทางนามธรรมหรือทางจิตใจ
และในที่สุด มันก็มี “การ ดั บ” คือ เมื่อความรู้สึกที่เป็นตัวฉันนั้นเป็นไปถึงที่สุดเรื่องหนึ่ง หรือกรณีหนึ่ง แล้วมันก็ดับ คือ ตายในทางฝ่ายนามธรรม หรือทางฝ่ายจิตใจ เช่นเดียวกับทางฝ่ายร่างกายที่เกิดมาจากท้องแม่ อยู่ได้โดยสมควรแก่เวลา ครั้นถึงอายุขัยแล้วก็ดับคือตาย มนุษย์ก็อยู่ได้ไม่เกินร้อยปี สวนสัตว์เดรัจฉานก็อยู่ได้น้อยกว่านั้น เป็นลำดับมา แต่ในที่สุดก็ต้อง “ดั บ หรือ ต า ย” ด้วยกันทั้งนั้น
ดังนั้น ควรจะดูให้เห็นว่า การเกิดทางวัตถุร่างกายนั้นก็มีการดับ การเกิดในทางจิตใจนั้นก็มีการดับ เมื่อมีการเกิดและการดับแล้วก็ต้องได้รับผลอย่างใดอย่างหนึ่ง เกี่ยวกับการเกิดและการดับนั้น ส่วนมากหรือทั้งหมดเป็นไปเพื่อความทุกข์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือการเกิดในทางนามธรรมหรือทางจิตใจ ย่อมเป็นทุกข์เสมอไป และทุกคราว...”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากธรรมบรรยาย หัวข้อเรื่อง “ธรรมจักษุ ดวงตาที่เห็นธรรม” แสดงในวันอาสาฬหบูชา ณ สวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๐๙
พระอัสสชิ ได้กล่าวธรรมปริยายแก่ “สารีบุตรปริพาชก” ว่า “ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติตรัสอย่างนี้” เพราะได้ฟังธรรมปริยายนี้ ธรรมจักษุอันปราศจากธุลี ( ได้ดวงตาเห็นธรรม ) ปราศจากมลทิน ได้เกิดแก่สารีบุตรปริพาชก ว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวง มีความดับไปเป็นธรรมดา”
สารีปุตตโมคคัลลานปัพพัชชากถา, พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่ม ๔ ข้อ ๖๐ หน้า ๗๓-๗๔
ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ – รวบรวม
0 comments: