สิ่งอันเป็นที่รักย่อมนำมาซึ่งความทุกข์
[ณ เชตวัน ใกล้นครสาวัตถี คฤหบดีผู้หนึ่งได้เสียลูกชายของตนไป ไม่เป็นอันกินอันนอน การงานไม่ทำ เที่ยวเดินไปตามป่าช้าแล้วคร่ำครวญถึงลูกว่าหายไปไหน ไปอยู่ที่ไหน จากนั้นได้เข้าไปพบพระพุทธเจ้า]
พ: คฤหบดี จิตใจของท่านไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย. ค: ที่เป็นอย่างนี้เพราะผมเสียลูกน้อยไป คร่ำครวญถึงแต่ลูกของผม. พ: เป็นเช่นนี้แล เพราะความเศร้าโศกเสียใจ ทุกข์กายทุกข์ใจล้วนเกิดจากสิ่งอันเป็นที่รัก
ค: เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร สิ่งอันเป็นที่รักย่อมนำมาซึ่งความสุขสิ
[จากนั้น คฤหบดีได้ลุกออกไป และเจอกับกลุ่มนักเลงสกาที่กำลังเล่นสกา (เป็นการพนันอย่างหนึ่ง) อยู่ จึงเล่าสิ่งที่ได้คุยกับพระพุทธเจ้าให้ฟัง ซึ่งนักเลงสกาก็เห็นเหมือนกับคฤหบดี ประเด็นนี้เป็นที่พูดกันไปจนถึงพระเจ้าปเสนทิโกศล ซึ่งได้เรียกพระนางมัลลิกาเทวีมาถามว่า]
ป: มัลลิกา พระพุทธเจ้าของเธอพูดว่า ‘ความเศร้าโศกเสียใจ ทุกข์กายทุกข์ใจล้วนเกิดจากสิ่งอันเป็นที่รัก’ จริงหรือ? ม: ถ้าเป็นคำที่พระพุทธเจ้าพูดจริง ก็จริงตามนั้นเพคะ ป: เธอก็เหมือนกับลูกศิษย์เออออตามคำอาจารย์ เธอจะไปไหนก็ไปเถอะ
[จากนั้น พระนางมัลลิกาเทวีได้เรียกพราหมณ์ชื่อนาฬิชังฆะมาแล้วบอกว่า]
ม: ท่านจงไปหาพระพุทธเจ้า บอกว่าฉันฝากถามว่า ‘ความเศร้าโศกเสียใจทุกข์กายทุกข์ใจล้วนเกิดจากสิ่งอันเป็นที่รัก เป็นคำพูดของท่านจริงหรือ?’
[เมื่อพราหมณ์ไปถึงและถามพระพุทธเจ้าดังนั้น พระพุทธเจ้าได้ตอบว่า]
พ: ใช่ เพราะอะไรถึงพูดอย่างนั้นจะบอกให้ทราบ. เรื่องเคยมีมาแล้วในนครสาวัตถีนี้เอง มีหญิงคนหนึ่งเสียแม่ไป กลายเป็นบ้า จิตฟุ้งซ่าน เดินไปตามถนนซอกซอย เที่ยวถามว่าใครต่อใครว่า ‘เห็นแม่ของฉันบ้างไหมๆ’ พราหมณ์ นี่แหละจึงกล่าวได้ว่า ความเศร้าโศกเสียใจทุกข์กายทุกข์ใจล้วนเกิดจากสิ่งอันเป็นที่รัก
เรื่องเคยมีมาแล้วในนครสาวัตถีนี้เอง บรรดาญาติของหญิงคนหนึ่งบังคับให้นางเลิกกับสามี แล้วให้ไปแต่งงานกับชายอีกคนหนึ่ง นางจึงไปบอกสามีว่า ‘นางไม่อยากแยกกับสามี ไม่อยากไปอยู่คนอื่น’ สามีจึงฆ่านางแล้วฆ่าตัวตายตาม. พราหมณ์ นี่แหละจึงกล่าวได้ว่า ความเศร้าโศกเสียใจทุกข์กายทุกข์ใจล้วนเกิดจากสิ่งอันเป็นที่รัก
[พราหมณ์ได้กลับไปเล่าทั้งหมดนี้ให้พระนางมัลลิกาเทวีฟัง พระนางฯจึงเข้าไปหาพระเจ้าปเสนทิโกศลแล้วกล่าวว่า]
ม: ท่านรักวชิรีลูกสาวของท่านไหม? ป: รัก วชิรีเป็นที่รักของฉัน ม: ถ้าวชิรีเป็นอะไรไป ท่านจะเป็นทุกข์เสียใจไหม? ป: ทำไมจะไม่ทุกข์เล่า. ม: ข้อนี้แหละท่าน ที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่า ความเศร้าโศกเสียใจทุกข์กายทุกข์ใจล้วนเกิดจากสิ่งอันเป็นที่รัก ท่านรักหม่อมฉันไหม? ป: รัก เธอเป็นที่รักของฉัน
ม: ถ้าหม่อมฉันเป็นอะไรไป ท่านจะเป็นทุกข์เสียใจไหม? ป: ทำไมจะไม่ทุกข์เล่า. ม: ท่านรักแคว้นกาสีและแคว้นโกศลไหม? ป: รัก เพราะด้วยแคว้นกาสีและแคว้นโกศล เราจึงได้ใช้แก่นจันทน์ที่มีอยู่ในกาสี ได้ทัดทรงดอกไม้ของหอมและเครื่องบำรุงผิวต่างๆ. ม: ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับสองแคว้นนี้ ท่านจะเป็นทุกข์เสียใจไหม? ป: ทำไมจะไม่ทุกข์เล่า. ม: ข้อนี้แหละท่าน ที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่า ความเศร้าโศกเสียใจทุกข์กายทุกข์ใจล้วนเกิดจากสิ่งอันเป็นที่รัก. ป: มัลลิกา ฉันไม่เคยคิดแบบนี้มาก่อน พระพุทธเจ้าท่านคงเห็นชัดด้วยปัญญา
[พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ลุกขึ้นพนมมือ หันไปทางที่อยู่ของพระพุทธเจ้าแล้วกล่าวว่า]
ป: ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น (3 ครั้ง)
ที่มา: เรียบเรียงจากพระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ 21 (พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ภาค 2 เล่ม 2 ปิยชาติกสูตร ข้อ 535), 2559, น.162-171
0 comments: