วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ทุมฺเมธชาตกํ - ค น โ ง่ ได้ยศไม่เป็นประโยชน์

ทุมฺเมธชาตกํ - ค น โ ง่  ได้ยศไม่เป็นประโยชน์

"ยสํ  ลทฺธาน  ทุมฺเมโธ,     อนตฺถํ  จรติ  อตฺตโน;

อตฺตโน  จ  ปเรสญฺจ,        หึสาย  ปฏิปชฺชตีติ ฯ

ผู้มีปัญญาทรามได้ยศแล้ว ย่อมประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่ตน ย่อม ป ฏิ บั ติ เ พื่ อ ค ว า มเ บี ย ด เบี ย น ต น และ ค น อื่ น."

อรรถกถาทุมเมธชาดกที่ ๒ 

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันทรงปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า  ยสํ  ลทฺธาน  ทุมฺเมโธ  ดังนี้

ความโดยย่อว่า ภิกษุทั้งหลายพากันกล่าวโทษของพระเทวทัตในธรรมสภาว่า „ผู้มีอายุทั้งหลาย พระเทวทัตมองดู พระพักตร์อันทรงสิริ เหมือนดวงจันทร์เต็มดวงและพระอัตภาพอันประดับด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ และมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ แวดวงด้วยพระรัศมีแผ่ซ่านประมาณ ๑ วา ถึงความงามเลิศเป็นยอดเยี่ยม เปล่งพระพุทธรัศมีเป็นแฉคู่ ๆ กัน โดยอาการต่าง ๆ สลับกันของพระตถาคตแล้ว ไม่อาจยังจิตให้เลื่อมใสได้ มิหนำซ้ำยังกระทำความริษยาเอาด้วยไม่อาจจะอดใจได้ในเมื่อมีผู้กล่าวว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงประกอบแล้วด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ ญาณทัสสนะ เห็นปานนี้การทำความริษยาถ่ายเดียว“

พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่เทวทัตกระทำการริษยาเรา ในเมื่อมีผู้กล่าวถึงคุณของเรา แม้ในปางก่อนก็ได้เคยกระทำแล้วเหมือนกัน“ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล ครั้งเมื่อพระเจ้ามคธองค์หนึ่ง ครองราชสมบัติ ในกรุงราชคฤห์  พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดช้างได้เป็นช้างเผือก ถึงพร้อมด้วยรูปสมบัติ เช่นเดียวกับที่พรรณนามาแล้วในหนหลัง พระราชาพระองค์นั้นทรงพระดำริว่า ช้างนี้สมบูรณ์ด้วยลักษณะ จึงได้ทรงแต่งตั้งให้เป็นมงคลหัตถี.   

ครั้นถึงวันมหรสพวันหนึ่ง โปรดให้ประดับตกแต่งพระนครทั้งสิ้นงดงามดังเทพนคร เสด็จขึ้นสู่มงคลหัตถี อันประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพทรงกระทำประทักษิณพระนครด้วยราชานุภาพอันใหญ่หลวง

มหาชนยืนดูในที่นั้น ๆ เห็นสรีระอันถึงความงามเลิศด้วยสมบัติของมงคลหัตถี ก็พากันพรรณนาถึงมงคลหัตถีเท่านั้นว่า รูปงาม การเดินสง่า ท่าทางองอาจ สมบูรณ์ด้วยลักษณะอย่างแท้จริง พระยาช้างเผือกเห็นปานนี้ สมควรเป็นคู่บุญบารมีของพระเจ้าจักรพรรดิ

พระราชาทรงสดับเสียงสรรเสริญมงคลหัตถี ไม่ทรงสามารถจะอดพระทัยได้ทรงเกิด ความริษยา ดำริว่า „วันนี้แหละจะให้มันตกเขาถึงความสิ้นชีวิต“ ให้จงได้แล้วรับสั่งให้หานายหัตถาจารย์มา รับสั่งถามว่า „ช้างนี้ต้องทำอย่างไรบ้าง เจ้าให้ศึกษาแล้วหรือ ?“   นายหัตถาจารย์กราบทูลว่า „ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ให้ศึกษาดีแล้วพระเจ้าข้า“ รับสั่งท้วงว่า „ยังฝึกไม่ดีนะ“ กราบทูลยืนยันว่า „ฝึกดีแล้วพระเจ้าข้า“, รับสั่งว่า „ถ้าฝึกดีแล้ว เจ้าจักอาจให้มันขึ้นสู่ยอดเขาเวปุลละได้หรือ ?“

กราบทูลว่า „พระเจ้าข้า ข้าแต่สมมติเทพ“, รับสั่งว่า „ถ้าเช่นนั้นมาเถิด“ พระองค์เองเสด็จลงให้นายหัตถาจารย์ขึ้นนั่งไสไปถึงเชิงเขา เมื่อนายหัตถาจารย์นั่งเหนือหลังช้างไสถึงยอดเขาเวปุลละแล้ว, แม้พระองค์เองแวดล้อมด้วยหมู่อำมาตย์ก็เสด็จขึ้นสู่ยอดเขาแล้วทรงบังคับนายหัตถาจารย์ ให้ไสช้างบ่ายหน้าไปทางเหว รับสั่งว่า „เจ้าบอกว่า ช้างเชือกนี้ฝึกดีแล้วจงให้มันยืน ๓ ขา เท่านั้น“

นายหัตถาจารย์นั่งบนหลังได้ให้สัญญาแก่ช้างด้วยสันเท้า ให้ช้างรู้ว่า „พ่อเอ๋ย จงยืน ๓ ขาเถิด“ พระราชารับสั่งว่า ให้มันยืนด้วยเท้าหน้าทั้งสองเท่านั้นเถิด ช้างผู้มหาสัตว์ ก็ยกเท้าหลังทั้งสองขึ้น ยืนด้วยของเท้าหน้า, แม้เมื่อพระราชาตรัสว่า ให้มันยืนด้วยสองเท้าหลังเท่านั้น ก็ยกเท้าทั้งสองข้างหน้าขึ้น ยืนด้วยสองเท้าหลัง แม้เมื่อตรัสสั่งว่า ให้ยืนขาเดียว ก็ยกเท้าทั้งสามขึ้นเสีย ยืนด้วยเท้าข้างเดียวเท่านั้น.

พระราชาครั้นทรงทราบความที่พระยาช้างนั้นไม่ตก ก็ตรัสสั่งว่า „ถ้าสามารถจริง ก็จงให้ยืนในอากาศเถิด“ นายหัตถาจารย์คิดว่า „ทั่วชมพูทวีป ช้างที่ได้ชื่อว่าฝึกดีแล้ว เช่นกับพระยาช้างนี้ไม่มีเลย ก็แต่พระราชาพระองค์นี้ มีพระประสงค์ให้ช้างนั้นตกเขาตายเป็นแน่ไม่ต้องสงสัย“ คิดแล้วก็กระซิบที่ใกล้หูว่า „พ่อเอ๋ย พระราชานี้ประสงค์จะให้เจ้าตกเขาตายเสียเจ้าไม่คู่ควรแก่ท้าวเธอ ถ้าเจ้ามีกำลังพอจะไปทางอากาศได้ก็จงพาเราผู้นั่งบนหลัง เหาะขึ้นสู่เวหาไปสู่พระนครพาราณสีเถิด“

พระมหาสัตว์ถึงพร้อมด้วยบุญฤทธิ์ได้ยืนอยู่ในอากาศในขณะนั้นเอง นายหัตถาจารย์กราบทูลว่า "ข้าแต่มหาราช ช้างนี้ถึงพร้อมด้วยบุญฤทธิ์ ไม่คู่ควรแก่คนมีบุญน้อย ปัญญาทรามเช่นพระองค์ คู่ควรแก่พระราชาผู้เป็นบัณฑิต ถึงพร้อมด้วยบุญขึ้นชื่อว่าคนบุญน้อยเช่นพระองค์ ถึงได้พาหนะเช่นนี้ ก็มิได้รู้คุณของมัน รังแต่จะยังพาหนะนั้นและยศสมบัติที่เหลือ ให้ฉิบหายไปฝ่ายเดียว" ทั้ง ๆ ที่นั่งอยู่บนคอช้าง กล่าวคาถานี้ว่า :- 

„ผู้มีปัญญาทรามได้ยศแล้ว ย่อมประพฤติส่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่ตน ย่อม ปฏิ บั ติ เพื่ อ คว า ม  เบี ย  ด  เบี ย น ต น และ ค น อื่ น.“

ในคาถานั้น มีความสังเขปดังนี้ ข้าแต่มหาราชเจ้า คน โ ง่  ๆ คือคนที่ไร้ปัญญาเช่นพระองค์ได้บริวารสมบัติแล้ว ย่อมประพฤติความฉิบหายแก่ตน เพราะเหตุไร ? เพราะเหตุว่า คน โ ง่ ๆนั้น มัวเมาในยศแล้ว มิได้รู้การที่ควรทำและไม่ควรทำ ย่อมปฏิบัติเพื่อเบียดเบียนตนและคนอื่น ๆคือย่อมดำเนินการเพื่อที่ยังความลำบากและความทุกข์เกิดขึ้นซึ่งเรียกว่า เบียดเบียนเท่านั้นเอง.

นายหัตถาจารย์แสดงธรรมแก่พระราชา ด้วยคาถานี้ด้วยประการฉะนี้แล้วกราบทูลว่า คราวนี้เชิญเสด็จประทับอยู่เถิดแล้วพรางเหาะขึ้นในอากาศ ตรงไปพระนครพาราณสีทีเดียว หยุดอยู่ในอากาศที่ท้องพระลานหลวง.    ทั่วทั้งพระนครอื้อฉาวเอิกเกริกเป็นเสียงเดียวกันว่า ช้างเผือกของพระราชาแห่งชาวเรามาทางอากาศ หยุดยืนอยู่ที่ท้องพระลานหลวงราชบุรุษทั้งหลายรีบกราบทูลพระราชา

พระราชาเสด็จมาตรัสว่า ถ้าเจ้ามาเพื่อเป็นอุปโภคแก่เรา เชิญเจ้าลงยืนที่พื้นดินเถิดพระโพธิสัตว์ก็ลงยืนที่แผ่นดิน อาจารย์ก็ก้าวลงถวายบังคม พระราชาได้รับพระดำรัสว่า พ่อคุณ พ่อมาจากไหน ? กราบทูลว่า „มาจากเมืองราชคฤห์พระเจ้าข้า“แล้วกราบทูลเรื่องทั้งปวงให้ทรงทราบ.   พระราชาตรัสว่า „พ่อคุณ การที่พ่อมาที่นี่ กระทำสิ่งที่น่าชื่นชมจริง ๆ“ ทรงหรรษาและดีพระทัย ตรัสให้ตระเตรียมพระนครทรงตั้งพญาช้างในตำแหน่งมงคลหัตถีทรงแบ่งราชสมบัติทั้งสิ้นออกเป็น ๓ ส่วน ส่วนหนึ่งพระราชทานแก่พระโพธิสัตว์ ส่วนหนึ่งแก่อาจารย์ ส่วนหนึ่งพระองค์ทรงครอบครอง.    ก็นับจำเดิมแต่พระโพธิสัตว์มาแล้วนั่นแล ราชสมบัติในชมพูทวีปทั้งสิ้น ก็ตกอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ของพระราชา พระองค์เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ในชมพูทวีปทรงบำเพ็ญบุญมีทานเป็นต้นแล้วเสด็จไปตามยถากรรม.

พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประชุมชาดกว่า พระราชามคธในครั้งนั้นได้มาเป็นเทวทัต พระเจ้ากรุงพาราณสีได้มาเป็นพระสารีบุตร นายหัตถาจารย์ได้มาเป็นอานนท์ ส่วนช้างได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.  จบอรรถกถาทุมเมธชาดกที่ ๒

ที่มา : Palipage : Guide to Language - Pali



Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: