วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ไม่ว่าโลกหน้าจะมีจริงหรือไม่ก็ตาม เราย่อมได้รับผลกรรมในโลกปัจจุบันนี้อยู่ดี

ไม่ว่าโลกหน้าจะมีจริงหรือไม่ก็ตาม เราย่อมได้รับผลกรรมในโลกปัจจุบันนี้อยู่ดี

[ณ บ้านศาลา แคว้นโกศล พระพุทธเจ้าได้พูดคุยกับพราหมณ์และคฤหบดีโดยมีความตอนหนึ่งว่า]

พ: มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งเห็นว่า ทานที่ทำไปนั้นไม่มีผล ผลของกรรมไม่ว่าจะดีหรือชั่วนั้นไม่มี ไม่มีโลกนี้ ไม่มีโลกหน้า ส่วนสมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่งเห็นว่า ทานที่ทำไปนั้นมีผล ผลของกรรมไม่ว่าจะดีหรือชั่วนั้นมีจริง มีโลกนี้ มีโลกหน้า

สมณพราหมณ์กลุ่มแรกมักจะทำแต่อกุศลกรรมทั้งทางกาย วาจา ใจ เพราะไม่เห็นว่ามีภพหน้าที่ตนจะต้องรับผลจากการกระทำของตัวเอง ทั้งที่โลกหน้านั้นมีจริงแต่กลับเห็นว่าไม่มี คิดว่าไม่มี บอกว่าไม่มี นี่เป็นการเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) คิดผิด (มิจฉาสังกัปปะ) และพูดผิด (มิจฉาวาจา) สมมติว่าโลกหน้าไม่มีจริง คนที่คิดเช่นนี้ก็คงสบายไป แต่ความจริงคือโลกหน้านั้นมีจริง คนที่คิดแช่นนี้ เมื่อตายไปย่อมเข้าสู่ทุคติอบาย และถึงโลกหน้าจะมีจริงหรือไม่มีก็ตาม คนที่ทำอกุศลกรรมก็ย่อมจะถูกผู้คนติเตียนได้ในโลกปัจจุบันนี้ว่าเป็นคนทุศีล

สมณพราหมณ์กลุ่มที่สองมักจะทำแต่กุศลกรรมทั้งทางกาย วาจา ใจ เพราะเห็นว่ามีภพหน้าที่ตนจะต้องรับผลจากการกระทำของตัวเอง ซึ่งการที่โลกหน้ามีจริงและตนก็เห็นว่ามี คิดว่ามี บอกว่ามีนั้น ถือเป็นการเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ) คิดถูก (สัมมาสังกัปปะ) และพูดถูก (สัมมาวาจา) คนที่คิดเช่นนี้ เมื่อตายไปย่อมเข้าสู่สุคติโลกสวรรค์ และถึงโลกหน้าจะมีจริงหรือไม่มีก็ตาม คนที่ทำกุศลกรรมก็ย่อมจะได้รับการยกย่องสรรเสริญจากผู้คนในโลกปัจจุบันนี้ว่าเป็นคนมีศีล

ที่มา: เรียบเรียงจากพระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ 20 (พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ภาค 2 เล่ม 1 อปัณณกสูตร ข้อ 103), 2559, น.211-216



Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: