สิงฺคาลชาตกํ - ว่าด้วยพราหมณ์เชื่อสุนัข
"สทฺทหาสิ สิงฺคาลสฺส, สุราปีตสฺส พฺราหฺมณ;
สิปฺปิกานํ สตํ นตฺถิ, กุโต กํสสตา ทุเวติ ฯ
ดูกรพราหมณ์ ท่านเชื่อสุนัขผู้ดื่มสุราหรือ? เพียง ๑๐๐ เบี้ยก็ไม่มี, อย่าว่า ถึง ๒๐๐ กหาปณะเลย!"
สิคาลชาดกอรรถกถา (สนักจิ้งจอก)
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหารทรงปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า สทฺทหาสิ สิคาลสฺส ดังนี้
ในสมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในโรงธรรม นั่งสนทนากันถึงโทษของพระเทวทัตว่า „ผู้มีอายุทั้งหลาย พระเทวทัต ชักชวนภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป ไปสู่คยาสีสประเทศ ให้ภิกษุเหล่านั้นยึดถือลัทธิของตนว่า พระสมณโคดมตรัสข้อใด ข้อนั้นมิใช่ธรรม, เรากล่าวข้อใด ข้อนี้เท่านั้นเป็นธรรม“ ดังนี้, แล้วกระทำมุสาวาท อันถึงฐานะวิบัติ ทำลายสงฆ์ ทำอุโบสถสองครั้งในสีมาเดียวกัน.“
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ?“
เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่เทวทัตมักกล่าวมุสาวาทแม้ในกาลก่อนก็เป็นผู้มีปกติกล่าวมุสาเหมือนกัน“ ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นรุกขเทวดาอยู่ข้างป่าช้า ในครั้งนั้น ในพระนครพาราณสี มีงานนักขัตฤกษ์ครึกครื้น พวกมนุษย์คิดกันว่า พวกเราจะกระทำพลีกรรมแก่ยักษ์แล้วจัดปลาและเนื้อเป็นต้นเรียงราย รินสุราเป็นอันมากใส่กระบาล๑ทั้งหลายวางไว้ในที่นั้น ๆมีตรอกและทางแพร่งเป็นต้น
ครั้งนั้น หมาจิ้งจอกตัวหนึ่ง เข้าไปสู่พระนครทางท่อระบายน้ำในเวลาเที่ยงคืน เคี้ยวกินปลาและเนื้อเป็นต้น ดื่มสุราแล้วเข้าไปสู่ระหว่างกอบุนนาคนอนหลับไปจนอรุณขึ้น มันตื่นขึ้น เห็นสว่างแล้ว คิดว่า เราไม่อาจออกไปในเวลานี้ได้แล้วไปที่ใกล้ทางนอนซ่อนตัวอยู่ ถึงเห็นคนอื่น ๆ ก็ไม่พูดอะไร ๆ ต่อเห็นพราหมณ์ผู้หนึ่งกำลังเดินไปล้างหน้า ก็คิดว่า ขึ้นชื่อว่าพราหมณ์แล้ว ย่อมเป็นผู้มีความโลภอยากได้ทรัพย์ เราต้องเอาทรัพย์ล่อพราหมณ์นี้ ทำให้แกสะพายเราออกจากเมืองให้จงได้ มันกล่าวด้วยภาษามนุษย์ว่า „ท่านพราหมณ์“
พราหมณ์หันกลับไปพูดว่า „ใครเรียกเรา ?“. มันตอบว่า „ฉันเองท่านพราหมณ์“. พราหมณ์ถามว่า „เรียกเราทำไม ?“
มันตอบว่า „ท่านพราหมณ์ ฉันมีทรัพย์อยู่ ๒๐๐ กหาปณะ ถ้าท่านสามารถกระเดียดฉัน คลุมมิดชิดด้วยผ้าสะไบเฉียง ไม่ให้ใคร ๆ เห็น พาฉันออกจากเมืองได้ฉันจักให้เหรียญกษาปณ์เหล่านั้นแก่ท่าน“ ด้วยความโลภอยากได้ทรัพย์ พราหมณ์จึงรับคำ กระทำตามคำของมัน พาออกจากเมืองไปได้หน่อยหนึ่ง. ลำดับนั้น หมาจิ้งจอกถามพราหมณ์ว่า „ท่านพราหมณ์ ถึงไหนแล้ว ?“ พราหมณ์ตอบว่า „ถึงที่โน้นแล้ว“ มันบอกว่า „ไปต่อไปอีกหน่อยเถิด“
สุนัขจิ้งจอกพูดไปเรื่อย ๆ อย่างนั้น จนลุถึงป่าช้าใหญ่ จึงบอกว่า „วางเราลงที่นี่เถิด“ ครั้นพราหมณ์ปล่อยมันลงแล้ว หมาจิ้งจอกบอกต่อไปว่า „ท่านพราหมณ์ถ้ากระนั้นท่านจงปูผ้าสะไบเฉียงลงเถิด“ พราหมณ์ก็ปูผ้าสะไบเฉียงของตนลงด้วยความละโมภในทรัพย์
ครั้งนั้น มันก็บอกแกว่า „จงขุดโคนต้นไม้นี้เถิด“ ให้พราหมณ์ขุดดินลงไป พลางก็ขึ้นไปสู่ผ้าสะไบเฉียงของพราหมณ์ ถ่ายมูตร คูถลงไว้ ๕ แห่งคือที่มุมทั้ง ๔ และตรงกลาง เช็ดเสียด้วยทำให้เปียกด้วยแล้วโดดเข้าป่าช้าไป. พระโพธิสัตว์สถิตเหนือค่าคบไม้ กล่าวคาถานี้ว่า :-
„ดูก่อนพราหมณ์ท่านเธอสุนัขผู้ดื่มสุราหรือ? เพียงร้อยเบี้ยก็ไม่มี, อย่าว่า ถึง ๒๐๐ กหาปณะเลย!“
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สทฺทหาสิ แปลว่า หลงเชื่อ. อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะอย่างนี้แหละ แต่มี ความว่า เชื่อถือ. บทว่า สิปฺปิกานํ สตํ นตฺถิ ความว่า เพราะว่า เงินร้อยเบี้ยของมันก็ยังไม่มี. บทว่า กุโต กํสสตา ทุเว ความว่า แล้วมันจะมีเงินสองร้อยกษาปณ์มาแต่ไหนเล่า ?
พระโพธิสัตว์กล่าวคาถานี้แล้วบอกว่า „ไปเถิดพราหมณ์จงไปซักผ้าของท่านเสีย อาบน้ำทำกิจของตนไปเถิด“ ดังนี้แล้ว ก็อันตรธานไป พราหมณ์ทำตามอย่างนั้น ถึงความโทมนัสว่า „โธ่เอ๋ยเราถูกหมาจิ้งจอกตัวนี้ลวงเสียแล้ว“ เดินหลีกไป.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประชุมชาดกว่า หมาจิ้งจอกในครั้งนั้นได้มาเป็นพระเทวทัต ส่วนรุกขเทวดาได้มาเป็นตถาคต ฉะนี้แล.
ที่มา : Palipage : Guide to Language - Pali
0 comments: