ถ้าไม่รู้จักควบคุมจิตใจแล้ว ก็จะเห็น “กงจักร” เป็น “ดอกบัว”
“พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้ควบคุมจิตใจ ให้เดินไปตามลู่ตามทางของธรรมะ อย่าได้ปล่อยไปว่า มันต้องการอย่างไรก็ปล่อยให้เป็นไปอย่างนั้น ถ้าปล่อยไปอย่างนี้แล้ว มันจะต้องไปบูชาสิ่งที่เป็นความทุกข์เข้าโดยไม่ต้องสงสัยเลย คำพูดที่กล่าวว่า “เห็นกงจักรเป็นดอกบัว” ก็เกิดขึ้นมาได้ด้วยเหตุนี้
อย่าลืมว่า คนที่มองเห็นกงจักรเป็นดอกบัวนั้น ไม่มีทางที่จะรู้สึกตัวว่า เราเห็นกงจักรเป็นดอกบัว มันจะเห็นเป็นดอกบัวอยู่เสมอไป โดยไม่รู้จักกงจักร หรือไม่เห็นกงจักร นี่แหละเป็นอาการที่เราทนทุกข์อยู่ด้วยความสมัครใจ ยังจมอยู่ในกองทุกข์ด้วยความสมัครใจ ไม่รู้จักเข็ด ไม่รู้จักหลาบ ในการที่จะต้องทนทุกข์นั้นๆ การที่ต้องทนทุกข์ในลักษณะเช่นนี้เขาเรียกว่าเป็น “เปรต” ฟังดูให้ดีว่ามันน่าชื่นใจหรือมันน่าสังเวชใจ ถ้าต้องเป็นเปรต…
อาการอย่างนี้มีได้แม้แก่คนทุกคนในปัจจุบันนี้ แม้ว่าจะเป็นคนมีเงิน มีทรัพย์สมบัติ มีชื่อเสียง มีอำนาจวาสนา มีเกียรติยศ เป็นที่ยกย่องของคนทั่วๆไป ก็ยังมีลักษณะที่เรียกว่าเป็น “เปรต” ที่มีกงจักรอยู่บนศรีษะได้ เพราะเขาเห็นกงจักรเป็นดอกบัว... เขารู้สึกในความต้องทนทรมานนั้นบ้างเหมือนกัน แต่แล้วก็ไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมีอวิชชามาปิดบังให้พอใจในความเป็นอยู่อย่างนั้นอยู่เรื่อยไป…
ทั้งหมดที่นำมากล่าวในลักษณะอย่างนี้ เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้นึกได้คิด และให้ถือว่าการกล่าวนี้เป็นการปรับทุกข์แก่กันและกัน ไม่ใช่เป็นคำด่า ไม่ใช่เป็นคำประจาน ไม่ใช่เป็นคำดูถูกดูหมิ่น แต่เป็นการปรับทุกข์ซึ่งกันและกันว่า สถานะของพุทธบริษัทเรายังไม่ดีขึ้นถึงขั้นที่ควรจะภาคภูมิใจ ยังอยู่ในลักษณะที่น่าอันตรายอยู่ ยังไม่ปลอดภัย ควรจะรู้สึกคิดนึกและปรับปรุงแก้ไขกันให้สุดสติกำลัง ให้เต็มที่ของสติปัญญาความสามารถของเราแต่ละคน อย่างน้อยก็คิดว่า เพื่อเห็นแก่พระพุทธเจ้าเถิด...ทรงทนทรมานลำบากเป็นเวลานานตั้ง ๔ อสงไขย แสนกัป ถึงเท่านั้นเพื่อจะช่วยพวกเรา เพื่อจะยกพวกเราขึ้นเสียจากกองทุกข์โดยประการทั้งปวง”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง “ธรรมจักษุ ดวงตาที่เห็นธรรม” แสดงในวันอาสาฬหบูชา ณ สวนโมกขพลาราม เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๐๙ จากเอกสารชุดมองด้านใน อันดับที่ ๑๒
0 comments: