“มีสติ” มีเครื่องคุ้มครองอันแท้จริง
“จงระมัดระวัง รักษาสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเราให้ดี ไม่ว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือทางใจ เกิดขึ้นอย่างไรเมื่อไร ก็ต้องมีสติที่เพียงพอ สำหรับจะไม่ให้เผลอตัวปรุงขึ้นมาเป็น “ความยึดมั่นถือมั่น”
จงเป็นผู้ปฏิบัติชนิดที่ให้เข้าถึงธรรมชาติอันบริสุทธิ์ คือธรรมชาติที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นอยู่ตลอดเวลา ทำตนเป็นคนไม่ยึดมั่นถือมั่นอย่างเดียวก็พอแล้ว
สิ่งใดเป็นความยึดมั่นถือมั่นก็ศึกษาให้เข้าใจ แล้วอย่าให้สิ่งชนิดนี้เกิดขึ้นมาได้ ให้อยู่ในอาการปกติตามธรรมชาติที่บริสุทธิ์มาแต่เดิม นี่คือ “สติ” หรือผลของการใช้สติ ระวังไม่ให้เกิดการปรุงแต่งใหม่ๆขึ้นมา ที่เรียกว่ากิเลสตัณหาและความทุกข์ นี้ไม่ใช่ธรรมชาติเดิม ไม่ใช่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เป็นของใหม่ปรุงแต่งขึ้นมาด้วยความเผลอสติ ด้วยความโง่ ความหลง
ธรรมชาติเดิมหรือธรรมชาติที่บริสุทธิ์นั้น คือคงอยู่ตามเดิมปรุงไม่ได้ ปรุงแต่งไม่ได้ ปรุงแต่งไม่ขึ้น คือยุไม่ขึ้น ไม่ปรุงแต่งเป็นความโลภความโกรธ ความหลง หรือไม่ปรุงแต่งเป็นความยึดมั่นถือมั่นอย่างนั้นอย่างนี้
มีสติแต่ในเพียงข้อนี้ก็เรียกว่าพอแล้ว สำหรับที่จะมีเครื่องคุ้มครองอันแท้จริง เป็นธรรมะกำมือเดียวตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส ไม่เหลือวิสัย ไม่มากมายเกินไป มีอยู่แต่ถือเอาให้ถูกต้อง ปฏิบัติให้ทันท่วงที ทุกๆ โอกาสที่กิเลสอาจจะเกิดขึ้นมา ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา: ธรรมบรรยาย หัวข้อเรื่อง “เครื่องรางกันบ้า” แสดงธรรมล้ออายุ พ.ศ.๒๕๑๑
0 comments: