พนฺธนโมกฺขชาตกํ - ว่าด้วยการหลุดพ้นจากเครื่องผูกมัด
"อพทฺธา ตตฺถ พชฺฌนฺติ, ยตฺถ พาลา ปภาสเร;
พทฺธาปิ ตตฺถ มุจฺจนฺติ, ยตฺถ ธีรา ปภาสเรติ ฯ
คนพาลทั้งหลายผู้ไม่ถูกผูกมัด กล่าวขึ้นในที่ใด ก็ย่อมถูกผูกมัดในที่นั้น, ส่วนบัณฑิต แม้ถูกผูกมัดแล้ว กล่าวขึ้นในที่ใด ก็หลุดพ้นได้ในที่นั้น."
อรรถกถาพันธนโมกขชาดกที่ ๑๐
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรงปรารภนางจิญจมาณวิกา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อพทฺธา ตถฺถ พชฺฌนฺติ ดังนี้.
เรื่องของนางจักแจ่มแจ้งใน มหาปทุมชาดก ทวาทสนิบาต. ก็ในครั้งนั้น พระศาสดาตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่นางจิญจมาณวิกา กล่าวตู่เราด้วยเรื่องไม่จริง แม้ในกาลก่อน ก็เคยกล่าวตู่แล้วเหมือนกัน" ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในเรือนของท่านปุโรหิต เจริญวัยแล้วได้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าพรหมทัต สืบแทนบิดาผู้ล่วงลับ. พระเจ้าพรหมทัตได้พระราชทานพรแก่พระอัครมเหสีไว้ว่า „ดูก่อนนางผู้เจริญ เธอต้องการสิ่งใด พึงบอกสิ่งนั้น“ พระนางกราบทูลว่า „ขึ้นชื่อว่าพระพรอื่น มิได้เป็นสิ่งที่เกล้ากระหม่อมฉันได้ด้วยยากเลย ขอพระราชทานแต่ว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปทูลกระหม่อมไม่พึงทอดพระเนตรหญิงอื่น ด้วยอำนาจกิเลส.“ แม้ท้าวเธอจะทรงห้ามไว้ ก็ถูกพระนางเซ้าซี้บ่อย ๆ จึงไม่อาจปฏิเสธคำของพระนางได้ ก็ทรงรับตั้งแต่บัดนั้น ก็มิได้ทรงเหลียวแล บรรดานางระบำหมื่นหกพันนาง แม้แต่นางเดียวด้วยอำนาจกิเลส.
อยู่มาปัจจันตชนบทของท้าวเธอเกิดกบฎขึ้น พวกโยธาที่ตั้งกองอยู่ในปัจจันตชนบท ทำสงครามกับพวกโจร ๒-๓ ครั้งก็ส่งใบบอกกราบทูลพระราชาว่า „ถ้าศึกหนักยิ่งกว่า นี้ พวกข้าพระองค์ไม่อาจฉลองพระเดชพระคุณได้“
พระราชามีพระประสงค์จะเสด็จไปในที่นั้นทรงระดมพลนิกายแล้วรับสั่งหาพระนางมา ตรัสว่า „นางผู้เจริญ ฉันต้องไปสู่ปัจจันตชนบทที่นั้น การยุทธมีมากมายหลายแบบ จะชนะหรือแพ้ก็ไม่แน่นอนในสถานที่เช่นนั้น มาตุคามคุ้มครองได้ยาก เธอจงอยู่ในพระราชวังนี้แหละ“ ดังนี้. ฝ่ายพระนางก็กราบทูลว่า „ทูลกระหม่อมเพคะเกล้ากระหม่อมฉันไม่สามารถจะอยู่ข้างหลัง“ ถูกพระราชาตรัสทัดทานห้ามอยู่บ่อย ๆ ก็กราบทูลว่า „ถ้าเช่นนั้น ทูลกระหม่อมเสด็จไปทุกระยะโยชน์ โปรดสั่งให้คนมาโยชน์ละคน ๆ เพื่อทรงทราบสุขทุกข์ของกระหม่อมฉันนะเพคะ“
พระราชาทรงรับคำแล้วทรงตั้งพระโพธิสัตว์เป็นผู้รักษาพระนคร
ทรงยกกองทัพใหญ่ออกไป เมื่อเสด็จไปได้แต่ละโยชน์ก็ส่งบุรุษคนหนึ่ง ๆ ไปด้วยพระดำรัสว่า „เจ้าจงบอกความไม่มีโรคของข้าแล้วรู้สุขทุกข์ของพระเทวีมาเถิด“ พระนางรับสั่งถามบุรุษที่มาแล้ว ๆ ว่า „พระราชาส่งเจ้ามาเพื่ออะไร ?“ เมื่อราชบุรุษกราบทูลว่า „เพื่อต้องการทราบสุขทุกข์ของฝ่าพระบาท“ ก็รับสั่งว่า „ถ้าเช่นนั้นจงมานี้“ แล้วทรงสร้องเสพอสัทธรรมกับบุรุษนั้น พระราชาเสด็จไปสิ้นหนทาง ๓๒ โยชน์ทรงส่งคนไป ๓๒ คน พระนางได้กระทำกับคนเหล่านั้นทุกคน ทำนองเดียวกันทั้งนั้น. พระราชาทรงปราบปรามปัจจันตชนบทราบคาบแล้วเกลี้ยกล่อมชาวชนบทเป็นอันดีแล้ว เมื่อเสด็จกลับ ก็ทรงส่งคนไป ๓๒ คน โดยทำนองเดียวกันนั่นแหละ พระนางก็ปฏิบัติผิดกับคนแม้เหล่านั้นอย่างนั้นเหมือนกัน
พระราชาเสด็จมาถึงที่พักเพื่อฉลองชัยทรงส่งหนังสือถึงพระโพธิสัตว์ว่า „จงเกณฑ์กันตกแต่งบ้านเมืองเถิด“ พระโพธิสัตว์ก็เกณฑ์คนให้ตกแต่งบ้านเมืองทั่วไป เมื่อจะให้คนตกแต่งพระราชนิเวศน์ได้ไปถึงที่ประทับของพระนางเทวี. พระนางทอดพระเนตรเห็นร่างกายของพระโพธิสัตว์ ถึงความงามเลิศด้วยรูปสมบัติ ก็มิทรงสามารถดำรง พระทัยอยู่ได้ รับสั่งว่า „มานี่เถิดท่านพราหมณ์ เชิญขึ้นสู่ที่นอนเถิด“
พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า „อย่าได้ตรัสอย่างนี้เลย พระราชาเล่า ก็เป็นที่คารวะของข้าพระบาท ข้าพระบาทเล่า ก็กลัวต่ออกุศล ข้าพระบาทไม่อาจทำอย่างนั้นได้“ รับสั่งว่า „พระราชาไม่เป็นที่เคารพของข้าบาทมูลทั้ง ๖๔ คนและคนเหล่านั้นก็ไม่กลัวอกุศล เจ้าคนเดียวเคารพพระราชา เจ้าคนเดียวกลัวอกุศล“ กราบทูลว่า „พระเจ้าข้า ถ้าแม้คนเหล่านั้นพึงเป็นอย่างนั้นไซร้ข้าพระบาทไม่พึงเป็นอย่างนั้น ก็ข้าพระบาทรู้อยู่ จักไม่กระทำกรรมอันเลวร้ายอย่างนั้นเลย.“
รับสั่งว่า „เจ้าจะพูดพร่ำให้มากความไปใย ถ้าไม่ทำตามคำของเรา เราจักตัดหัวเจ้าเสีย“ กราบทูลว่า „ถูกตัดหัวในอัตภาพเดียว ก็พอทำเนา ยังไม่เท่ากับถูกตัดหัวไปถึงพันอัตภาพ ข้าพระบาทไม่อาจทำอย่างนี้“ พระนางตรัสว่า เอาละ จะได้รู้ดีรู้ชั่วกันแล้วเสด็จเข้าของพระองค์แสดงรอยเล็บไว้ที่ร่างกาย ชะโลมตั่วด้วยน้ำมัน นุ่งผ้าเก่าทำท่วงทีเป็นไข้สั่งนางทาสีทั้งหลายว่า เมื่อพระราชารับสั่งว่า พระเทวีไปไหน ? พึงทูลว่า ประชวรนะ.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็ได้ไปรับเสด็จพระราชา พระราชาทรงกระทำประทักษิณพระนครแล้ว เสด็จขึ้นสู่ปราสาท รับสั่งถามว่า „พระเทวีไปไหน ?“ พวกทาสีกราบทูลว่า „พระเทวีทรงพระประชวร พระเจ้าข้า.“ ท้าวเธอเสด็จเข้าสู่ห้องอันทรงสิริทรงลูบหลังพระนาง พลางตรัสถามว่า "ดูก่อนนางผู้เจริญ เธอ ไม่สบายเป็นอะไรไป ?“ พระนางนิ่งเฉยเสีย ในวาระที่ ๓ จึงชำเลืองมองพระราชา พลางกราบทูลว่า „ข้าแต่พระทูลกระหม่อมแม้ว่า พระองค์ยังดำรงพระชนม์อยู่ หญิงทั้งหลายแม้เช่นกับหม่อมฉัน ก็ยังเป็นหญิงมีสามีเดียวอยู่โดยแท้จริง“
รับสั่งถามว่า „ก็ข้อนั้นมันเรื่องอะไรเล่า นางผู้เจริญ ?“ กราบทูลว่า „ปุโรหิตที่ทูลกระหม่อมทรงแต่งตั้งไว้รักษาพระนคร มาในที่นี้บอกว่า จักตกแต่งพระนิเวศน์แล้วข่มขืนกระหม่อมฉันผู้ไม่กระทำตามคำของตน ทำเอาสมใจแล้วจึงไปเพคะ“
พระราชาทรงแผดพระสุรเสียงอยู่ฉาดฉานด้วยทรงกริ้ว ประหนึ่งโยนก้อนเกลือเข้ากองไฟฉะนั้น เสด็จออกจากห้องอันทรงสิริ รับสั่งให้หานายประตูและข้าบาทมูลเป็นต้น ตรัสว่า „เหวยพนักงาน พวกเจ้าจงพากันไปจับไอ้ปุโรหิต มัดแขน ไพล่หลัง ทำมันให้สาสมกับความเป็นคนที่ต้องฆ่า พาออกไปจากพระนคร นำตัวไปไปสู่ตะแลงแกง ตัดหัวมันเสีย“
พวกราชบุรุษพากันรีบรุดไป จับพระโพธิสัตว์มัดไพล่หลังแล้วเที่ยวตระเวนตีกลองร้องประกาศไป.
พระโพธิสัตว์ดำริว่า „พระราชาคงถูกพระเทวีตัวร้ายนั้นกราบทูลยุยงเอาก่อนเป็นแน่ คราวนี้เราต้องแก้ต่างเปลื้องตนด้วยปรีชาญาณของตนเอง ในวันนี้ให้จงได้ พระโพธิสัตว์จึงกล่าวกะราชบุรุษเหล่านั้นว่า พ่อคุณทั้งหลาย พวกเธออย่าเพิ่งฆ่าเราเลย พาเราเข้าเฝ้าพระราชาแล้วค่อยฆ่าเถิด“ พวกราชบุรุษถามว่า เพราะเหตุไร ? จึงบอกว่า เราเป็นข้าราชการ การงาน ที่เราทำไว้มีมาก เราย่อมรู้ที่ตั้งแห่งขุมทรัพย์มากแห่งท้องพระคลังหลวงเล่า เราก็ตรวจตรา ถ้าไม่นำเราเข้าเฝ้าพระราชาแล้ว ทรัพย์เป็นอันมากจักสาบสูญ ขอโอกาสพอเราได้บอกสมบัติ แด่พระราชาแล้ว พวกท่านค่อยกระทำโทษที่ต้องกระทำภายหลังเถิด พวกราชบุรุษจึงพาพระโพธิสัตว์เข้าเฝ้าพระราชา.
พระราชาพอทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์เข้าเท่านั้นก็ตรัสว่า „เฮ้ย เจ้าพราหมณ์ เหตุไรเล่าจึงมิได้ยำเกรงเราเลยเหตุไรเล่า เจ้าจึงทำกรรมชั่วช้าสามาลย์ได้ถึงขนาดนี้ ?“
พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า „ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์นั้นเกิดในสกุลโสตถิยพราหมณ์ การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแม้เพียงมดดำ มดแดงข้าพระองค์ก็ไม่เคยกระทำ, สิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้แม้เพียงเส้นหญ้า ข้าพระองค์ก็ไม่เคยถือเอาเลย, สตรีของผู้อื่น ข้าพระองค์ก็ไม่เคยแม้จะเพียงลืมตาดูด้วยอำนาจความโลภ, คำเท็จแม้ด้วยอำนาจแห่งความร่าเริง ข้าพระองค์ก็ไม่เคยกล่าว, น้ำเมาเพียงหยดด้วยอดหญ้า ข้าพระองค์ก็ไม่เคยดื่ม, ข้าพระองค์ปราศจากความผิดในพระองค์ แต่นางเป็นพาล จับมือข้าพระองค์ด้วยอำนาจแห่งความโลภ ทั้ง ๆ ที่ข้าพระองค์ห้าม กับตวาดข้าพระองค์เปิดเผยความชั่วที่ตนกระทำไว้ บอกแก่ข้าพระองค์แล้วเข้าไปภายในห้อง ข้าพระองค์ปราศจากความผิด, แต่คนทั้ง ๖๔ ที่ถือหนังสือมามีความผิด ข้าแต่สมมติเทพ โปรดตรัสเรียกคนเหล่านั้นมาตรัสถามว่า พวกเหล่านั้นกระทำตามคำของพระนางหรือ ไม่ได้กระทำเถิดพระเจ้าข้า“
พระราชารับสั่งให้จองจำคนทั้ง ๖๔ แล้วรับสั่งให้หาพระเทวีมาเฝ้า มีพระดำรัสถามว่า „เจ้าทำกรรมชั่วกับคนเหล่านี้หรือไม่ได้กระทำ ?“ ครั้นนางกราบทูลรับว่า ทำเพคะ รับสั่งให้มัดนางไพล่หลังไว้แล้วทรงสั่งว่า พวกเจ้าจงตัดหัวของคน ๖๔ คน เหล่านี้เสีย.
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์กราบทูลท้าวเธอว่า „ข้าแต่มหาราชเจ้า คนเหล่านี้ก็ไม่มีโทษพระเจ้าข้า เทวีบังคับให้กระทำตามใจชอบของตน คนเหล่านี้ไร้ความผิด เหตุนั้น พระองค์โปรดทรงพระกรุณาอดโทษแก่คนเหล่านี้เถิดพระเจ้าข้า แม้พระเทวีก็ไม่มีโทษพระเจ้าข้าธรรมดาหญิงทั้งหลาย เป็นผู้ไม่อิ่มด้วยเมถุนธรรม แท้จริงความไม่อิ่มด้วยเมถุนธรรมนี้ เป็นสภาวธรรมประจำกำเนิด สิ่งที่ควรจะต้องมีก็ย่อมมีแก่พวกนางเท่านั้น เพราะเหตุนั้น จงทรงพระกรุณางดโทษพระนางด้วยเถิดพระเจ้าข้า“ กราบทูลให้พระราชาตกลงพระทัยด้วยประการต่าง ๆ จนทรงปล่อยคน ๖๔ นั้น และเทวีผู้เป็นพาล ให้พระราชทานฐานะตามตำแหน่งเดิมของตนก็คนทั้งปวง.
พระโพธิสัตว์ครั้นให้พระราชาโปรดปล่อยคนทั้งหมดแล้วทรงแต่งตั้งในตำแหน่งเดิมของตนอย่างนี้แล้วเข้าไปเฝ้าพระราชากราบทูลว่า „ข้าแต่มหาราชเจ้า หมู่บัณฑิตผู้ไม่น่าจะถูกจองจำ ถูกมัดไพล่หลังได้ เพราะถ้อยคำอันไม่มีหลักของคนที่เรียกกันว่า อันธพาล หมู่บัณฑิตรอดพ้นได้แม้จากการถูกมัดไพล่หลัง ด้วยถ้อยคำที่ชอบด้วยเหตุ ขึ้นชื่อว่าพวกพาล แม้คนที่ไม่น่าจะจองจำ ก็ทำให้ต้องจองจำได้ บัณฑิต ย่อมแก้ไขให้รอดจากการจองจำทั้งหลายได้อย่างนี้ พระเจ้าข้า“ แล้วกล่าวคาถานี้ ใจ ความว่า :-
„คนพาลแย้มพรายออกมา ณ ที่ใด, ณ ที่นั้น คนไม่น่าถูกจองจำ ย่อมถูกจองจำได้, หมู่บัณฑิตแย้มพรายออกมา ณ ที่ใด, ณ ที่นั้น แม้คนที่ถูกจองจำแล้ว ก็รอดพ้นได้.“
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อพทฺธา แปลว่า คนที่น่าจะถูกจองจำ. บทว่า ปภาสเร แปลว่า ย่อมแย้มพราย คือย่อมบอกย่อมกล่าว.
พระโพธิสัตว์แสดงธรรมแก่พระราชาด้วยคาถานี้ ด้วยประการฉะนี้แล้ว กราบทูลขออนุญาตการบรรพชาว่า „ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ทุกข์ทั้งนี้ข้าพระองค์ได้เพราะการอยู่ครองเรือน บัดนี้ข้าพระองค์ไม่มีกิจด้วยการครองเรือน โปรดทรงอนุญาตการบรรพชาเเก่ข้าพระองค์ด้วยเถิดพระเจ้าข้า“ แล้วสละตนที่เป็นญาติ มีน้ำตานองหน้าและสมบัติอันมากมายบวชเป็นฤๅษีอยู่ในป่าหิมพานต์ ยังฌานและสมาบัติให้เกิดแล้วได้เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประชุมชาดกว่า เทวีตัวร้ายในครั้งนั้นได้มาเป็นนางจิญจมาณวิกาในครั้งนี้ พระราชาได้มาเป็นอานนท์ ส่วนปุโรหิตได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล. จบพันธนโมกขชาดกที่ ๑๐. จบหังสิวรรคที่ ๑๒
ที่มา : Palipage : Guide to Language - Pali
0 comments: