วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

อกาลราวิชาตกํ - ว่าด้วยไก่ขันไม่ถูกเวลา

อกาลราวิชาตกํ - ว่าด้วยไก่ขันไม่ถูกเวลา

"อมาตาปิตรสํวทฺโธ,     อนาเจรกุเล   วสํ;

นายํ   กาลํ   อกาลํ   วา,     อภิชานาติ   กุกฺกุโฏติ ฯ

ไก่ตัวนี้ไม่ได้เติบโตอยู่กับพ่อแม่ ไม่ได้อยู่ในสำนักอาจารย์ ย่อมไม่รู้จักกาลที่ควรขัน และไม่ควรขัน."

อรรถกถาอกาลราวิชาดกที่ ๙

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรงปรารภภิกษุผู้ท่องบ่นไม่เป็นเวลารูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อมาตาปิตุสํวฑฺโฒ ดังนี้.

ได้ยินว่า ภิกษุนั้น เป็นกุลบุตรชาวพระนครสาวัตถีบรรพชาในพระศาสนาแล้ว ไม่เรียนวัตรหรือสิกขา เธอไม่รู้ว่า เวลานี้ควรทำวัตร เวลานี้ควรปรนนิบัติ เวลานี้ควรเล่าเรียนเวลานี้ควรท่องบ่น ส่งเสียงดังในขณะที่ตนตื่นขึ้นทีเดียว ทั้งในปฐมยาม ทั้งในมัชฌิมยาม ทั้งในปัจฉิมยาม.   ภิกษุทั้งหลายไม่เป็นอันได้หลับนอน ต่างพากันกล่าวโทษของเธอในธรรมสภาว่า „ผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุโน้น บรรพชาในพระศาสนาคือรัตน เห็นปานนี้ ยังไม่รู้วัตรหรือสิกขา กาลหรือมิใช่กาล“

พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ?“ เมื่อภิกษุทั้งหลาย กราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่ภิกษุนี้ ส่งเสียงไม่เป็นเวลา, แม้ในกาลก่อน ก็ส่งเสียงไม่เป็นเวลาเหมือนกันและเพราะความที่ไม่รู้กาลหรือมิใช่กาล ถูกบิดคอถึงสิ้นชีวิต“ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี  พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลอุทิจจพราหมณ์เจริญวัยแล้ว สำเร็จการศึกษาในศิลปวิทยาทุกอย่าง เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ในพระนครพาราณสี บอกศิลปะแก่มาณพประมาณ ๕๐๐.   พวกมาณพเหล่านั้นมีไก่ขันยามอยู่ตัวหนึ่ง พวกเขาพากันลุกตามเสียงขันของมัน ศึกษาศิลปะอยู่ มันได้ตายเสียพวกเขาจึงเที่ยวแสวงหาไก่อื่น

ครั้งนั้น มาณพผู้หนึ่ง หักฟืนอยู่ในป่าช้า เห็นไก่ตัวหนึ่ง ก็จับมาใส่กรงเลี้ยงไว้ ไก่ตัวนั้น มิได้รู้ว่า ควรขันในเวลาโน้น เพราะมันเติบโตในป่าช้า บางคราวก็ขันดึกเกินไป บางคราวก็ขันเอาเวลาอรุณขึ้น.  พวกมาณพพากันศึกษาศิลปะในเวลาที่มันขันดึกเกินไป ไม่อาจศึกษาได้จนอรุณขึ้น พากันนอนหลับไป แม้ข้อที่ท่องจำได้แล้ว ก็เลือนลืม ในเวลาที่มันขันสว่างเกินไปเล่า ต่างก็ไม่ได้ท่องบ่นเลย

มาณพกล่าวกันว่า „เดี๋ยวมันขันดึกไป เดี๋ยวก็ขันสายไป อาศัยไก่ตัวนี้ พวกเราคงเรียนศิลปะวิทยาไม่สำเร็จแล้ว“ ช่วยกันจับมันบิดคอถึงสิ้น ชีวิตแล้วบอกอาจารย์ว่า "ไก่ที่ขันไม่เป็นเวลา พวกผมฆ่ามันเสียแล้ว“   อาจารย์กล่าวว่า „มันถึงความตาย เพราะมันเจริญเติบโตโดยมิได้รับการสั่งสอนเลย“ ดังนี้แล้ว กล่าวคาถานี้ว่า :-

„ไก่ตัวนี้ไม่ได้เติบโตอยู่กับพ่อแม่ ไม่ได้อยู่ในสำนักอาจารย์ ย่อมไม่รู้จักกาลที่ควรขันและไม่ควรขัน.“

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า  อมาตาปิตุสํวฑฺโฒ  ความว่า ไก่ตัวนี้เติบโตโดยมิได้อาศัยมารดาบิดาแล้วรับโอวาทไว้.   บทว่า  อนาจริยกุเล  วสํ  ความว่า แม้ในสกุลอาจารย์เล่าก็มิได้อยู่ เพราะมิได้อาศัยใคร ๆเป็นอาจารย์ผู้ฝึกสอนอยู่เลย.   บทว่า  กาลมกาลํ  วา  ความว่า ไก่นี้ไม่รู้กาลหรือมิใช่กาลอันควรที่ตนพึงขันอย่างนี้ว่า ควรขันในเวลานี้ ไม่ควรขันในเวลานี้ เพราะเหตุที่ไม่รู้นั่นเอง จึงต้องถึงความสิ้นชีวิต.

พระโพธิสัตว์แสดงเหตุนี้แล้ว ดำรงชีพอยู่จนตลอดอายุขัยแล้วไปตามยถากรรม.

พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประชุมชาดกว่า ไก่ที่ขันไม่เป็นเวลาในครั้งนั้นได้มาเป็นภิกษุณีอันเตวาสิกได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วนอาจารย์ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.  จบอรรถกถาอกาลราวิชาดกที่ ๙

ที่มา : Palipage : Guide to Language - Pali





Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: