มีพระพุทธพจน์ในทวยตานุปัสสนาสูตร (ในวรรคที่ ๓) ว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากจะพึงมีผู้ถามว่า “การพิจารณาเห็นธรรมแยกออกเป็น ๒ คู่โดยชอบเนืองๆ พึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม” ควรตอบเขาว่า “พึงมี” ถ้าเขาถามว่า “พึงมีอย่างไรเล่า” พึงตอบเขาว่า “การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย นี้เป็นข้อที่ ๑ การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า เพราะอวิชชานั่นเองดับไป เพราะการคายกิเลสโดยไม่มีเหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒” ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมแยกออกเป็น ๒ คู่โดยชอบอย่างนี้” ฯลฯ จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
“อวิชชานั่นแล เป็นคติของสัตว์ทั้งหลายผู้เข้าถึงชาติ มรณะ และสังสารวัฏ ซึ่งมีสภาวะอย่างนี้และมีสภาวะเป็นอย่างอื่นอยู่บ่อยๆ
อวิชชา คือความหลงมัวเมาอย่างใหญ่หลวงนี้ เป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายจมปลักอยู่สิ้นกาลนาน สัตว์เหล่าใดทำลายอวิชชาด้วยวิชชาแล้ว สัตว์เหล่านั้นย่อมไม่เข้าถึงภพใหม่อีก”
อธิบายความ
อวิชชาเป็นคติให้เข้าถึงชาติ มรณะ และสังสารวัฏ ซึ่งมีสภาวะอย่างนี้และมีสภาวะเป็นอย่างอื่นอยู่บ่อยๆ คำว่า “ชาติ มรณะ และสังสารวัฏ ซึ่งมีสภาวะอย่างนี้และมีสภาวะเป็นอย่างอื่นอยู่บ่อยๆ” หมายถึง เข้าถึงความเกิดและความตาย และเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารยาวนาน คือถึงสภาวะแห่งความเป็นมนุษย์บ้างและความเป็นสัตว์อื่นๆที่เหลือจากความเป็นมนุษย์บ้าง ดังนี้.
เพราะฉะนั้น จงหมั่นพิจารณาเนืองๆเถิด
สาระธรรมจากทวยตานุปัสสนาสูตร
พระมหาวัชระ เชยรัมย์ (ติกฺขญาโณ)
27/7/64
0 comments: