กุสนาฬิชาดก - ว่าด้วยประโยชน์ของการผูกมิตร
กเร สริกฺโข อถ วาปิ เสฏฺโฐ, นิหีนโก วาปิ กเรยฺย เอโก;
กเรยฺยุเมเต พฺยสเน อุตฺตมตฺถํ, ยถา อหํ กุสนาฬิ รุจายนฺติ ฯ
บุคคลผู้เสมอกัน ประเสริฐกว่ากัน หรือเลวกว่ากัน พึงกระทำมิตรธรรมเถิด เพราะมิตรเหล่านั้น เมื่อความเสื่อมเกิดขึ้น ก็พึงทำประโยชน์อันอุดมให้ได้ ดุจเราผู้เป็นรุกขเทวดาและกุสนาฬิเทวดา คบหาเป็นมิตรกัน ฉะนั้น."
อรรถกถากุสนาฬิชาดกที่ ๑
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรงปรารภมิตรผู้ชี้ขาดการงานของท่านอนาถบิณฑิกะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า กเร สริกฺโข ดังนี้.
ความโดยย่อมีว่า พวกมิตรผู้คุ้นเคย ญาติพวกพ้องของท่านอนาถบิณฑิกะ ร่วมกันห้ามปรามบ่อย ๆ ว่า „ท่านมหาเศรษฐีคนผู้นี้ไม่ทัดเทียมกับท่านโดยชาติ โคตร ทรัพย์และธัญญชาติเป็นต้น ทั้งไม่เหมือนท่านไปได้เลย เหตุไรท่านจึงทำความสนิทสนมกับคนผู้นี้ อย่ากระทำเลย“
ฝ่ายท่านอนาถบิณฑิกะกลับพูดว่า „ธรรมดาความสนิทสนมกันฉันท์มิตร กับคนที่ต่ำกว่าก็ดี คนที่เสมอกันก็ดี คนที่สูงกว่าก็ดี ควรกระทำทั้งนั้น“ แล้วไม่เชื่อถือถ้อยคำของคนพวกนั้น เมื่อจะไปบ้านส่วย ก็ตั้งบุรุษผู้นั้นให้เป็นผู้ดูแลสมบัติแล้วจึงไป.
เรื่องราวทั้งหมด พึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วในเรื่อง กาฬกรรณีนั่นแล แปลก แต่ว่า ในเรื่องนี้ เมื่อท่านอนาถบิณฑิกะกราบทูลเรื่องราวในเรือนของตนแล้ว พระศาสดาตรัสว่า „ดูก่อนคฤหบดี ธรรมดามิตรที่จะเป็นคนเล็กน้อยไม่มีก็ความเป็นผู้สามารถรักษามิตรธรรมไว้ได้เป็นประมาณในเรื่องมิตรนี้ ธรรมดามิตร เสมอด้วยตนก็ดีต่ำกว่าตนก็ดี ยิ่งกว่าตนก็ดี ควรคบไว้ เหตุว่า มิตรเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ย่อมช่วยแบ่งเบาภาระที่มาถึงตนได้ทั้งนั้น บัดนี้ท่านอาศัยมิตรผู้ชี้ขาดการงานของตน จึงเป็นเจ้าของขุมทรัพย์ได้สืบไป ส่วนโบราณกบัณฑิต อาศัยมิตรผู้ชี้ขาด จึงเป็นเจ้าของวิมานได้“ ดังนี้ อันท่านอนาถบิณฑิกะกราบทูลอาราธนา จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นเทวดาที่กอหญ้าคา ในอุทยานของพระราชา ก็ในอุทยานนั้นแล มีต้นรุจมงคล อาศัยมงคลศิลา มีลำต้นตั้งตรง ถึงพร้อมด้วยปริมณฑลกิ่งก้านและค่าคบได้รับการยกย่องจากราชสำนัก เรียกกันว่า ต้นสมุขกะบ้าง ๑ เทวราชผู้มีศักดิ์ใหญ่ตนหนึ่ง บังเกิดที่ต้นไม้นั้นพระโพธิสัตว์ได้มีความสนิทสนมกับเทวราชนั้น
ครั้งนั้น พระราชาเสด็จประทับอยู่ในปราสาทเสาเดียว เสาของปราสาทนั้นหวั่นไหว ครั้งนั้น พวกราชบุรุษพากันกราบทูลความหวั่นไหวของเสานั้นแด่พระราชา พระราชารับสั่งให้หาพวกนายช่างมาเฝ้า ตรัสว่า „พ่อคุณ เสาแห่งมงคลปราสาทเสาเดียวหวั่นไหวเสียแล้ว พวกเจ้าจงเอาเสาไม้แก่นมาต้นหนึ่ง ทำเสานั้นไม่ให้หวั่นไหวเถิด“ พวกช่างเหล่านั้นกราบทูลรับพระดำรัสของพระราชาว่า „ดีแล้ว พระเจ้าข้า" แล้วพากันแสวงหาต้นไม้ที่เหมาะแก่เสานั้น ไม่พบในที่อื่น จึงเข้าไปสู่อุทยาน เห็นต้นสมุขกะนั้นแล้ว พากันไปสำนักพระราชา เมื่อมีพระดำรัสถามว่า „อย่างไรเล่าพ่อทั้งหลาย ต้นไม้ที่เหมาะสมแก่เรานั้น พวกเจ้าเห็นแล้วหรือ ?“ จึงกราบทูลว่า „เห็นแล้วพระเจ้าข้า ก็แต่ว่า ไม่อาจตัดต้นไม้นั้นได้“
รับสั่งถามว่า „เพราะเหตุไรเล่า ?“ พากันกราบทูลว่า „พวกข้าพระองค์ไม่เห็นต้นไม้ในที่อื่น พากันเข้าสู่พระอุทยานในพระอุทยานนั้นเล่า เว้นต้นมงคลพฤกษ์แล้ว ก็ไม่เห็นต้นไม้อื่น ๆ ดังนั้น โดยที่เป็นมงคลพฤกษ์ พวกข้าพระองค์จึงไม่กล้าตัด ต้นไม้นั้น พระเจ้าข้า“ รับสั่งว่า „จงพากันไปตัดเถิด ทำปราสาทให้มั่นคงเถิด เราจักตั้งต้นอื่นเป็นมงคลพฤกษ์แทน“ พวกช่างไม้เหล่านั้นรับพระดำรัสแล้วพากันถือเครื่องพลีกรรมไปสู่อุทยานตกลงกันว่า „จักตัดในวันพรุ่งนี้“ แล้วกระทำพลีกรรมแก่ต้นไม้ เสร็จพากันออกไป
รุกขเทวดารู้เหตุนั้นแล้ว คิดว่า „พรุ่งนี้ วิมานของเราจักฉิบหาย เราจักพาพวกเด็ก ๆ ไปที่ไหนกันเล่า เมื่อไม่เห็นที่ควรไปได้ ก็กอดคอลูกน้อย ๆ ร่ำไห้ หมู่รุกขเทวดาที่รู้จักมักคุ้นของเทวดานั้น ก็พากันไต่ถามว่า „เรื่องอะไรเล่า ?“ ครั้นฟังเรื่องนั้น แม้พวกตนก็มองไม่เห็นอุบายที่จะห้ามช่างไม่ได้พากันทอดทิ้งเทวดานั้น เริ่มร้องไห้ไปตามกัน. ในสมัยนั้น พระโพธิสัตว์ดำริว่า „เราจักไปเยี่ยมรุกขเทวดาจึงไปที่นั้น“ ฟังเหตุนั้นแล้ว ก็ปลอบเทวดาเหล่านั้นว่า „ช่างเถิดอย่ามัวเสียใจเลย เราจักไม่ให้ตัดต้นไม้นั้น พรุ่งนี้เวลาพวกช่างมา พวกท่านคอยดูเหตุการณ์ของเราเถิด“
ครั้นรุ่งขึ้น เวลาที่พวกช่างไม้พากันมา ก็แปลงตัวเป็นกิ้งก่าวิ่งนำหน้าพวกช่างไม้ไป เข้าไปสู่โคนของมงคลพฤกษ์ กระทำประหนึ่งว่า ต้นไม้นั้นเป็นโพรง ไต่ขึ้นตามไส้ของต้นไม้ โผล่ออกทางยอดนอนผงกหัวอยู่. นายช่างใหญ่เห็นกิ้งก่านั้นแล้ว ก็เอามือตบต้นไม้นั้นแล้วตำหนิต้นไม้ใหญ่มีแก่นทึบตลอดว่า ต้นไม้นี้มีโพรงไร้แก่น เมื่อวานไม่ทันได้ตรวจถ้วนถี่ หลงทำพลีกรรมกันเสียแล้ว พากันหลีกไป
รุกขเทวดาอาศัยพระโพธิสัตว์ คงเป็นเจ้าของวิมานอยู่ได้ เพื่อเป็นการต้อนรับรุกขเทวดานั้น เทวดาที่รู้จักมักคุ้นจำนวนมากประชุมกัน รุกขเทวดาดีใจว่า „เราได้วิมานแล้ว" เมื่อจะกล่าวคุณของพระโพธิสัตว์ ในท่ามกลางที่ประชุมเทวดาเหล่านั้นจึงกล่าวว่า „ดูก่อนเทพยเจ้าผู้เจริญทั้งหลาย ชาวเราถึงจะเป็นเทวดามเหศักดิ์ ก็มิได้รู้อบายนี้ เพราะปัญญาทึบ, ส่วนเทวดากุสนาฬิได้กระทำให้เราเป็นเจ้าของวิมานได้ เพราะญาณสมบัติของตน, ธรรมดามิตร ไม่เลือกว่า เท่าเทียมกัน ยิ่งกว่าหรือต่ำกว่า ควรคบไว้ทั้งนั้น, มิตรแม้ทุก ๆ คนอาจบำบัดทุกข์ที่บังเกิดแก่เพื่อนฝูง ให้คงคืนตั้งอยู่ในความสุขได้ ตามกำลังของตนทีเดียว“ ครั้นพรรณนามิตรธรรมแล้ว กล่าวคาถานี้ว่า :-
"บุคคลผู้เสมอกัน ประเสริฐกว่า กัน หรือ เลวกว่า กัน ก็ควรคบกันไว้, เพราะมิตรเหล่านั้น เมื่อความเสื่อมเกิดขึ้น ก็พึงทำประโยชน์อันอุดมให้ได้, ดูเราผู้เป็นรุกขเทวดาและเทวดาผู้เกิดที่กอหญ้าคาคบกันฉะนั้น."
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กเร สริกฺขโก ความว่า แม้คนเสมอกัน ด้วยฐานะมีชาติเป็นต้น ก็ควรคบกันไว้. บทว่า อถวาปิ เสฏฺโฐ ความว่า แม้เป็นผู้สูงกว่า คือยิ่งกว่า ด้วยชาติเป็นต้น ก็ควรคบไว้. บทว่า นิหีนโก จาปิ กเรยฺย เอโก ความว่า ถึงจะเป็นคนต่ำต้อยด้วยชาติเป็นต้นคนหนึ่ง ก็พึงกระทำมิตรธรรมไว้ท่านแสดงความหมายว่า เหตุนั้น คนเหล่านี้แม้ทั้งหมด ควรทำให้เป็นมิตรไว้ทั้งนั้น.
ถามว่า เพราะอะไร ? ตอบว่า เพราะมิตรเหล่านั้นเมื่อความเสื่อมเกิดขึ้น ก็พึงทำประโยชน์อันอุดมให้ได้ ขยายความว่า „ก็เพราะคนเหล่านี้ทั้งหมด เมื่อความพิบัติเกิดขึ้นแก่สหายแล้ว ก็ช่วยแบ่งเบาภาระที่มาถึงตน กระทำประโยชน์อย่างสูงให้ได้ คือช่วยปลดเปลื้องสหายนั้นจากทุกข์กาย ทุกข์ใจได้ เพราะเหตุนั้น มิตรแม้จะต่ำต้อยกว่า ก็ควรคบไว้ทีเดียว จะป่วยกล่าวไปใยถึงมิตรนอกนี้ในข้อนั้น มีเรื่องนี้เป็นข้ออุปมา เหมือนข้าพเจ้าเป็นเทวดาเกิดที่ไม้รุจาและเทวดาเกิดที่กอหญ้าคา มีศักดาน้อย ต่างกระทำความสนิทสนมฉันมิตรกันไว้ ถึงในเราสองคนนั้นข้าพเจ้าแม้จะมีศักดามาก ก็ไม่อาจบำบัดทุกข์ที่เกิดแก่ตนได้ เพราะเป็นคนเขลา ไม่ฉลาดในอุบาย แต่ได้อาศัยเทวดาผู้นี้ แม้จะมีศักดาน้อย ก็เป็นบัณฑิต จึงพ้นจากทุกข์ได้ฉะนั้น. เพราะเหตุนั้น แม้คนอื่น ๆประสงค์จะพ้นทุกข์ ก็ไม่จำต้องคำนึงถึงความเสมอกันและความวิเศษกว่ากัน พึงคบมิตรทั้งต่ำ ทั้งประณีต.“
รุจาเทวดาแสดงธรรมแก่หมู่เทวดาด้วยคาถานี้ ดำรงอยู่ชั่วอายุขัยแล้ว ไปตามยถากรรมพร้อมกับกุสนาฬิเทวดา.
พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประชุมชาดกว่า รุจาเทวดาในครั้งนั้นได้มาเป็นอานนท์ ส่วนกุสนาฬิเทวดาได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล. จบอรรถกถากุสนาฬิชาดกที่ ๑
CR: หมายเหตุ ข้อมูลที่มา ภาษาบาฬี จากเว็บไซต์ tipitaka.org คำแปลจาก ฉบับมหิดล, ฉบับสยามรัฐ, ฉบับมหาเถรสมาคม เป็นต้น, ส่วนอรรถกถาแปลโดยมากจากฉบับมหาจุฬาฯ.
ที่มา : Palipage : Guide to Language - Pali
0 comments: