วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

วฏฺฏกชาตกํ - ว่าด้วยการใช้ความคิด

วฏฺฏกชาตกํ - ว่าด้วยการใช้ความคิด

"นาจินฺตยนฺโต  ปุริโส,     วิเสสมธิคจฺฉติ;

จินฺติตสฺส  ผลํ  ปสฺส,      มุตฺโตสฺมิ  วธพนฺธนาติ ฯ

บุรุษเมื่อไม่คิดก็ย่อมไม่ได้ผลพิเศษ ท่านจงดูผลแห่งอุบายที่เราคิดเถิด, เราพ้นแล้วจากการฆ่าและจองจำ ก็ด้วยอุบายนั้น."

อรรถกถาวัฏฏกชาดกที่ ๘ (๑๑๘)

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรงปรารภบุตรของอุตตรเศรษฐี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า  นาจินฺตยนฺโต  ปุริโส  ดังนี้.

ได้ยินว่า ในพระนครสาวัตถีได้มีเศรษฐีชื่อว่าอุตตระมีสมบัติมาก สัตว์ผู้มีบุญผู้หนึ่ง จุติจากพรหมโลก ถือปฏิสนธิในท้องแห่งภรรยาของท่านเศรษฐี เจริญวัย มีรูปงดงาม แจ่มใสมีผิวพรรณเพียงดังพรหม

อยู่มาวันหนึ่งในพระนครสาวัตถีเมื่องานนักขัตฤกษ์ประจำเดือน ๑๒ ได้ป่าวร้องไปทั่วแล้วโลกทั้งหมดได้เป็นประเทศมีงานนักขัตฤกษ์ บุตรเศรษฐีอื่น ๆ ผู้เป็นสหายของเศรษฐีบุตรนั้นได้มีภรรยากันแล้ว แต่เพราะเหตุที่บุตรของท่านอุตตรเศรษฐี อยู่ในพรหมโลกตลอดกาลนาน จิตจึงไม่ชุ่มชื่นในกองกิเลส

ครั้งนั้น พวกเพื่อน ๆ ของเขาปรึกษากันว่า พวกเราจักนำหญิงคนหนึ่ง มาให้บุตรท่านอุตตรเศรษฐีแล้วชวนกันเล่นนักขัตฤกษ์ เข้าไปหาเขากล่าวว่า เพื่อนรัก ในพระนครนี้มีงานมหรสพประจำเดือน ๑๒ เขาป่าวร้องกันทั่วแล้ว พวกเราพาหญิงคนหนึ่งมาให้ท่านจักเล่นนักขัตฤกษ์กัน แม้เมื่อเขาบอกว่า ผมไม่ต้องการผู้หญิง ก็พากันแค่นได้กระเซ้าอยู่บ่อย ๆ จนต้องยอมรับ จึงไปแต่งนางวรรณทาสีคนหนึ่ง ด้วยเครื่องประดับพร้อมสรรพ พาไปเรือนของเขากล่าวว่า เธอจงไปสู่สำนักของเศรษฐีบุตรเถิด ดังนี้แล้ว ส่งเข้าไปสู่ห้องนอนแล้วพากันออกไป

แม้นางจะเข้าไปถึงห้องนอนเศรษฐีบุตรก็ไม่มองดู ไม่พูดจาด้วยนางคิดว่า ชายผู้นี้ไม่มองดูเรา ผู้สวยงาม สมบูรณ์ด้วยความเพริดพริ้ง แพรวพราว อย่างสูงเห็นปานนี้เลย ทั้งไม่ยอมพูดจาด้วยบัดนี้ เราจักทำให้เขาจ้องมองดูเรา ด้วยกระบวนมายาและการเยื้องกรายของหญิงให้ได้ดังนี้แล้ว เริ่มแสดงเสน่ห์หญิง เผยปลายฟัน ด้วยการโปรยยิ้มทำชะมดชะม้อยเอียงอาย

เศรษฐีบุตรมองดูเลยยึดเอานิมิตรในกระดูกฟัน เกิดอัฏฐิกสัญญา ร่างงามนั้นแม้ทั้งหมด ก็ปรากฏเป็นเหมือนโครงกระดูก เขาจึงให้รางวัลนางแล้วส่งตัวกลับไป.   อิสระชนผู้หนึ่งเห็นนางลงมาจากเรือนนั้น ในระหว่างถนนก็ให้รางวัลพาไปสู่เรือนของตน ล่วงได้เจ็ดวันงานนักขัตฤกษ์ก็ยุติ

มารดาของนางวรรณทาสีไม่เห็นกลับมา ก็ไปหาเศรษฐีบุตรทั้งหลายถามว่า ลูกสาวของฉันไปไหน ? เศรษฐีบุตรเหล่านั้นก็พากันไปสู่เรือนของอุตตรเศรษฐีบุตรถามว่า นางไปไหน ? เขาบอกว่า ฉันให้รางวัลนางแล้วส่งตัวกับไปขณะนั้นเองทีเดียวขณะนั้นมารดาของนางก็ร้องไห้ พลางกล่าวว่า ฉันไม่เห็นลูกสาวของฉันที่ไหนเลย พวกท่านต้องพาลูกสาวของฉันมาส่งแล้วจับบุตรอุตตรเศรษฐีไปสู่ราชสำนัก

พระราชาเมื่อทรงชำระคดี รับสั่งถามว่า เศรษฐีบุตรเหล่านี้พานางไปให้เจ้าหรือ ? เขากราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ. รับสั่งถามว่า เดี๋ยวนี้นางไปไหนละ ? กราบทูลว่า ไม่ทราบเกล้าฯพระเจ้าข้า ข้าพระองค์ส่งนางกลับไปในขณะนั้นแหละ พระเจ้าข้า.  รับสั่งว่า เดี๋ยวนี้เจ้าอาจพานางส่งคืนได้ไหมเล่า ? กราบทูลว่า ข้าพระองค์ไม่สามารถพระเจ้าข้า พระราชาตรัสสั่งว่า ถ้าไม่อาจนำตัวมาส่งคืนได้ พวกเจ้าจงลงอาญาเขาเถิด.    ครั้งนั้น พวกราชบุรุษพากันมัดแขนเขาไพล่หลัง คุมตัวไปด้วยคิดว่า พวกเราจักลงพระอาญา.

ได้เล่าลือกันไปทั่วพระนครว่า ได้ยินว่า พระราชารับสั่งให้ลงพระราชอาญาเศรษฐีบุตรผู้ไม่สามารถนำนางวรรณทาสีมาส่งคืนได้ มหาชนกอดอกร่ำไห้ว่า นายเอ๋ย. ทำไมเรื่องเป็นเช่นนี้ท่านได้สิ่งไม่คู่ควรแก่ตนเลย พากันเดินร่ำไห้ไปข้างหลังของเศรษฐีบุตร.     เศรษฐีบุตรคิดว่า ทุกข์ขนาดนี้นี่เราได้รับเพราะการอยู่ครองเรือน ถ้าเราพ้นจากทุกข์นี้ไปได้เราจักบวชในสำนักพระมหาโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า.   ฝ่ายนางวรรณทาสีนั้นเล่า ฟังเสียงโกลาหลนั้นแล้ว ก็ถามว่า นั่นเสียงอะไร ? ครั้นทราบเรื่องราวแล้ว รีบลงมาโดยเร็วกล่าวว่า จงหลีกไปเถิดท่านทั้งหลาย จงให้โอกาสเราได้พบราชบุรุษเถิดแล้วแสดงตน

พวกราชบุรุษเห็นนางแล้วก็ให้มารดารับตัวไป ปล่อยเศรษฐีบุตรแล้วพากันไป เขาถูกเพื่อน ๆ แวดล้อมไปสู่แม่น้ำ อาบน้ำ ดำเกล้าแล้วจึงไปเรือนบริโภคอาหารเช้า ขอให้มารดาบิดาอนุญาตให้บรรพชา ถือเอาผ้าจีวรไปสำนักพระศาสดาด้วยบริวารเป็นอันมาก ถวายบังคมแล้วกราบทูลขอบรรพชาได้บรรพชาอุปสมบท มิได้ทอดทิ้งพระกรรมฐาน เจริญวิปัสสนา ไม่ช้าก็ตั้งอยู่ในพระอรหัตผล

อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในธรรมสภา กล่าวถึงคุณของท่านว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย บุตรของอุตตรเศรษฐี เมื่อภัยบังเกิดแก่ตน ทราบคุณของพระศาสดาได้คิดว่า เมื่อเราพ้นจากทุกข์นี้จักบรรพชา ด้วยความคิดดีนั้น จึงพ้นจากมรณภัยด้วยบวชแล้วดำรงในผลอันเลิศด้วย

พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ?" เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว.   จึงตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่แต่บุตรของอุตตรเศรษฐีเท่านั้น ที่เมื่อภัยบังเกิดแล้วได้คิดว่า เราจักพ้นทุกข์นี้ด้วยอุบายนี้ แม้บัณฑิตในอดีตกาล เมื่อภัยบังเกิดแก่ตนแล้วก็ได้คิดว่า เราจักพ้นจากทุกข์นี้ ดังนี้แล้ว ก็พ้นจากทุกข์ คือมรณภัยได้แล้วเหมือน" กันแล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี  พระโพธิสัตว์เมื่อแรงกรรมผลักดันให้หมุนเวียนไปด้วยอำนาจแห่งจุติและปฏิสนธิ บังเกิดในกำเนิดนกกระจาบ.  ครั้งนั้น นายพรานนกกระจาบคนหนึ่ง นำนกกระจาบเป็นอันมากมาจากป่า ขังไว้ในเรือน เมื่อคนทั้งหลายพากันมาซื้อ ก็ขายนกกระจาบส่งให้ถึงมือ เลี้ยงชีวิต

พระโพธิสัตว์ได้คิดว่า ถ้าเราบริโภคข้าวน้ำที่พรานนี้ให้แล้วไซร้ พรานนี้ก็คงจับเราให้แก่คนที่มาซื้อ ก็ถ้าเราไม่บริโภคเล่า ก็คงซูบเซียว ครั้นคนทั้งหลายเห็นเราซูบเซียว ก็จักไม่รับเอา ความปลอดภัยจักมีแก่เราด้วยอุบายอย่างนี้ เราจักกระทำอุบายอันนี้.  เมื่อพระโพธิสัตว์กระทำอย่างนั้น ก็ซูบเซียวเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก พวกมนุษย์เห็นพระโพธิสัตว์แล้วไม่แตะต้องเลย.    นายพรานเมื่อนกกระจาบที่เหลือ เว้นพระโพธิสัตว์หมดสิ้นไปแล้ว ก็นำออกจากกระเช้ายืนอยู่ที่ประตู วางพระโพธิสัตว์ไว้ที่ฝ่ามือ ปรารภเพื่อจะตรวจดูว่า นกกระจาบตัวนี้เป็นอย่างไรเล่านะ

ครั้นพระโพธิสัตว์รู้ว่า นายพรานเผลอ ก็กางปีกบินเข้าป่าไป นกกระจาบเหล่าอื่นเห็น พระโพธิสัตว์จึงพากันถามว่า เป็นอย่างไรไปเล่าท่านจึงไม่ค่อยปรากฏท่านไปไหนเสียเล่า ?   ครั้นพระโพธิสัตว์บอกว่า เราถูกนายพรานจับไป ต่างก็ชักว่า ทำอย่างไรเล่าถึงรอดมาได้ พระโพธิสัตว์บอกว่า เราไม่กินอาหารที่เขาให้ ไม่ดื่มน้ำ จึงรอดมาได้ด้วยการคิดอุบาย ดังนี้แล้ว กล่าวคาถานี้ว่า :-

„บุรุษเมื่อไม่คิด ก็ย่อมไม่ได้ผลพิเศษท่านจงดูผลแห่งอุบายที่เราคิดเถิด เราพ้นจากการถูกฆ่าและจองจำ ก็ด้วยอุบายนั้น.“ 

ในคาถานั้นประมวลความได้ดังนี้ :- คนถึงทุกข์แล้วเมื่อไม่คิดว่า เราจักพ้นทุกข์นี้ด้วยอุบายชื่อนี้ ก็ไม่ประสบผลวิเศษ คือความรอดพ้นจากทุกข์ของตนได้ ก็บัดนี้จงดูผลแห่งกรรมที่เราคิดแล้ว ด้วยอุบายนี้เท่านั้น ที่เราพ้นจากการถูกฆ่าและถูกขังได้ คือพ้นจากความตายด้วยจากที่กักขังด้วย.   

พระโพธิสัตว์บอกเหตุการณ์ที่ตนกระทำแล้ว ด้วยประการฉะนี้.

พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประชุมชาดกว่า ก็นกกระจาบผู้รอดพ้นได้ในครั้งนั้นได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.  จบอรรถกถาวัฏฏกชาดกที่ ๘

วัฏฏกชาดก พบมี ๓ ชาดก ในจำนวน ๕๔๗ ชาดก คือ

๑. วัฏฏกชาดก ในเอกกนิบาต กุลาวกวรรคที่ ๔ ชาดกลำดับที่ ๓๕, ในชาดกนี้ทรงปรารถการดับไฟป่า, พระศาสดาทรงเสวยพระชาดิเป็นนกคุ่ม.

๒. วัฏฏกชาดก ในเอกกนิบาต หังจิวรรคที่ ๑๒ ชาดกลำดับที่ ๑๑๘, ในชาดกนี้ทรงปรารถบุตรของท่านอุตตรเศรษฐี, พระศาสดาทรงเสวยพระชาดิเป็นนกคุ่ม.

๓. วัฏฏกชาดก ในฉักกนิบาต ขุรปัตตวรรคที่ ๒ ชาดกลำดับที่ ๓๙๔ ในชาดกนี้ทรงปรารถภิกษุโลเลรูปหนึ่ง, พระศาสดาทรงเสวยพระชาดิเป็นนกคุ่ม.

ที่มา : Palipage : Guide to Language - Pali



Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: