วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ปัจฉิมโอวาท - พระดำรัสครั้งสุดท้ายของพระพุทธเจ้า

ปัจฉิมโอวาท - พระดำรัสครั้งสุดท้ายของพระพุทธเจ้า

พุทธพจน์เมื่อจะปรินิพพาน เป็นพุทธโอวาทที่เรียกว่า “ปัจฉิมโอวาท” หรือ “ปัจฉิมวาจา” คือพระดำรัสครั้งสุดท้ายของพระพุทธเจ้า ซึ่งพุทธศาสนิกชนน่าจะถือเป็นสำคัญที่สุด แต่มักจะมองข้ามไป

เมื่อพระพุทธเจ้าจะปรินิพพานนั้น ได้ตรัสปัจฉิมวาจาว่า  “วยธมฺมา  สงฺขารา  อปฺปมาเทน  สมฺปาเทถ” นี่พุทธพจน์สุดท้าย พุทธศาสนิกชนควรจะถือเป็นสำคัญอย่างยิ่ง การปฏิบัติตามหลักอนิจจัง มาครบวงจรที่นี่ ตามพุทธพจน์นี้ ที่มี ๒ ตอน คือ

ตอนที่หนึ่งว่า “วยธมฺมา สงฺขารา” สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา นี้คือ หลักอนิจจัง สอนว่า สิ่งทั้งหลายมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา ถ้าจับเอาแค่นี้ก็อาจจะสบายปลงได้ว่า เออ มันเป็นธรรมดาอย่างนั้น ก็มีความสุข

แต่พระพุทธเจ้ายังตรัสตอนที่ ๒ ต่อไปอีกว่า “อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลว่า (เพราะฉะนั้น) จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม หมายความว่าจงรีบเว้นการที่ควรเว้น และเร่งทำการที่ควรทำ ตามเหตุปัจจัย หรือท่านแปลแบบขยายความว่า จงยังประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท

เมื่อสิ่งทั้งหลายมันไม่เที่ยงแท้แน่นอน ถ้าเราประมาท เหตุปัจจัยของความเสื่อมหรือสิ่งที่เป็นโทษก็จะเข้ามาหรือได้โอกาส แล้วเราก็จะเสื่อมหรือประสบโทษ เพราะฉะนั้น เราจะต้องระมัดระวังไม่ให้เหตุปัจจัยของความเสื่อมเข้ามา พร้อมกันนั้น เมื่อเราต้องการประโยชน์หรือความเจริญ เราก็ต้องสร้างเหตุปัจจัยของความเจริญหรือประโยชน์โดยไม่ประมาท จะปล่อยปละละเลยเพิกเฉยอยู่ไม่ได้ อยู่นิ่งไม่ได้

ความไม่ประมาท คือ ความไม่อยู่นิ่งเฉย แต่กระตือรือร้นเร่งรัดทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรทำ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสื่อม เพื่อสร้างสรรค์ความเจริญ พร้อมกันกับหลักนี้ ความรู้เท่าทันและปลงใจได้ที่พูดแล้วข้างต้น ก็เข้ามาประสาน ทำให้เรากำจัดแก้ไขป้องกันความเสื่อม และสร้างสรรค์ความเจริญได้ด้วยจิตใจที่มีความสุข อย่างพร้อมกันไป นี้คือ การปฏิบัติที่ครบวงจร

เมื่อมองตามหลักนี้ จะเห็นการดำเนินชีวิตของคนในโลกนี้เป็น ๓ พวก คือ

– พวกหนึ่ง ปลงใจได้ ก็สบาย เสื่อมก็ช่างมัน ปล่อยตามเรื่อง ก็มีความสุข แต่เสื่อม

– อีกพวกหนึ่ง ถูกภัยอันตราย ถูกความกลัวบีบคั้นจึงทำ พวกนี้ก็ทำด้วยความทุกข์ หรือเจริญแต่ทุกข์

– แต่ทางพุทธศาสนานั้น ให้ทำไปด้วย และมีความสุขด้วย เป็นพวกที่สาม ซึ่งมีการปฏิบัติที่ครบวงจร เพราะรู้อนิจจัง และปฏิบัติต่ออนิจจังในทางที่ถูกต้อง คือ รู้อนิจจังตามธรรมดาสังขารแล้ว มีความไม่ประมาท

เมื่อทำให้ถูกต้องแล้ว การปฏิบัติจริยธรรมในเรื่อง “อนิจจัง” ก็ครบวงจร ถ้าจะแยกเป็นส่วนๆ ตอนๆ ก็คือ

ประการที่หนึ่ง รู้เท่าทันความจริงของสิ่งทั้งหลายว่าเป็นอนิจจัง (ปัญญา)

ประการที่สอง ปลงใจได้ จิตไม่หวั่นไหว มีความสุข (จิตใจเป็นอิสระ หรือวิมุตติ)

ประการที่สาม รู้ว่าความไม่เที่ยงแล้วเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย จึงศึกษาสืบสาวเหตุปัจจัยที่จะทำให้เสื่อม และเหตุปัจจัยที่จะทำให้เจริญ (โยนิโสมนสิการ) แล้วเร่งขวนขวาย ทำการต่างๆ ที่จะหลีกเลี่ยงละกำจัดเหตุปัจจัยของความเสื่อม และสร้างเสริมทำเหตุปัจจัยของความเจริญ (ไม่ประมาท = อัปปมาท) แก้ไขปัญหา และทำการสร้างสรรค์ให้สำเร็จ

นี่เป็นตัวอย่าง การปฏิบัติจริยธรรมต้องครบวงจร ต้องรู้ความสัมพันธ์ระหว่างข้อธรรมว่า ข้อธรรมทั้งหลายรับช่วงส่งต่อกัน ให้ข้อไหนสืบทอดไปข้อไหนๆ และนำไปสู่ผลอย่างไร เป้าหมายเป็นอย่างไร ถ้าทำอย่างนี้ไม่มีปัญหา”

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )

ที่มา : จากธรรมนิพนธ์ เรื่อง “การพัฒนาจริยธรรม”

“อย่าให้“อนิจจัง”  เป็นเพียงข้อปลอบใจ  หลัก“อนิจจัง”ท่านสอน  เน้นในแง่ว่าไม่ให้นิ่งนอนใจ  คือให้...“ไม่ประมาท”

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )



Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: