"สพฺพสํหารโก นตฺถิ, สุทฺธํ กงฺคุ ปวายติ;
อลิกํ ภาสติยํ ธุตฺตี, สจฺจมาห มหลฺลิกาติ ฯ
กลิ่นเครื่องอบทั้งปวงไม่มี มีแต่กลิ่นดอกประยงล้วนฟุ้งไป หญิงนักเลงคนนี้ ย่อมกล่าวคำเหลาะแหละ หญิงผู้ใหญ่กล่าวคำจริง."
สัพพสังหารปัญหาชาดกอรรถกถา (กลิ่มหอมทุกชนิด)
สัพพสังหารปัญหานี้ มีคำเริ่มต้นว่า สพฺพสํหารโก นตฺถิ ดังนี้ ก็จักแจ่มแจ้งในอุมมังคชาดก (มหานิบาตชาดก อุมมังคชาดก) โดยอาการทั้งปวง. จบอรรถกถาสัพพสังหารปัญหาชาดกที่ ๑๐ จบปโรสตวรรคที่ ๑๑
หมายเหตุ: อรรถกถาในสัพพสังหารปัญหาชาดก โดยตรงไม่มี, เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้จักได้นำอรรถกถาแห่งอุมมัคคชาดก (หรือ มโหสถชาดก) ตามที่ท่านอ้างถึงมาแสดงไว้ เพื่อความสมบูรณ์ดังนี้.
หัวข้อว่า เครื่องประดับทำเป็นปล้อง ๆ มีความว่า ยังมีหญิงเข็ญใจคนหนึ่งเปลื้องเครื่องประดับทำเป็นปล้อง ถักด้วยด้ายสีต่าง ๆ จากคอวางไว้บนผ้าสาฎก ลงสู่สระโบกขรณีที่มโหสถบัณฑิตให้ทำไว้ เพื่ออาบน้ำ
หญิงรุ่นสาวคนหนึ่งเห็นเครื่องประดับนั้น เกิดความโลภ หยิบเครื่องประดับขึ้นชมว่า “เครื่องประดับนี้งามเหลือเกิน แกทำราคาเท่าไร? แม้เราก็จักทำรูปเหล่านี้ ตามควรแก่ศิลปะของคน“ กล่าวชมฉะนี้แล้วประดับที่คอตน แล้วกล่าวว่า „เราจะพิจารณาประมาณของเครื่องประดับนั้นก่อน“ หญิงเจ้าของกล่าวว่า „จงพิจารณาดูเถิด“ เพราะหญิงเจ้าของเป็นคนมีจิตชื่อตรง หญิงรุ่นสาวประดับที่คอคนแล้วหลีกไป.
ฝ่ายหญิงเจ้าของเห็นดังนั้น ก็รีบขึ้นจากโบกขรณี นุ่งผ้าสาฎกแล้ววิ่งตามไปยึดผ้าไว้กล่าวว่า „เอ็งจักถือเอาเครื่องประดับของข้าหนีไปไหน“? ฝ่ายหญิงขโมยกล่าวตอบว่า „ข้าไม่ได้เอาของของแก เครื่องประดับคอของข้าต่างหาก“
มหาชนชุมนุมฟังวิวาทกัน.
ฝ่ายมโหสถบัณฑิตเล่นอยู่กับเหล่าทารกได้ฟังเสียงหญิงสองคนนั้นทะเลาะกันไปทางประตูศาลา ถามว่า „นั่นเสียงอะไร“ ได้ฟังเหตุที่หญิงสองคนทะเลาะกันแล้ว จึงให้เรียกเข้ามา แม้รู้อยู่โดยอาการว่า „หญิงนี้เป็นขโมย หญิงนี้มิใช่ขโมย“ ก็ถามเนื้อความนั้นแล้วกล่าวว่า „แกทั้งสองจักตั้งอยู่ในวินิจฉัยของข้าหรือ“? เมื่อหญิงทั้งสองรับว่าจักตั้งอยู่ในวินิจฉัย จึงถามหญิงขโมยก่อนว่า „แกย้อมเครื่องประดับนี้ด้วยของหอมอะไร“? หญิงขโมยตอบว่า „ข้าพเจ้าย้อมด้วยของหอมทุกอย่างของหอมที่ทำประกอบด้วยของหอมทั้งปวงชื่อว่าของหอมทุกอย่าง“
ลำดับนั้น มโหสถบัณฑิตจึงถามหญิง เจ้าของนางตอบว่า „เพราะข้าพเจ้าเป็นคนเข็ญใจของหอมทุกอย่างจะมีแต่ไหน ข้าพเจ้าย้อมด้วยของหอมคือดอกประยงค์เท่านั้นเป็นนิตย์“ มโหสถบัณฑิต ให้คนของตนกำหนดคำของหญิงทั้งสองนั้นไว้แล้วให้นำภาชนะน้ำมาแช่เครื่องประดับน้ำในภาชนะน้ำนั้น ให้เรียกคนรู้จักกลิ่นมาสั่งว่า „ท่านจงดมเครื่องประดับนั้น จะเป็นกลิ่นอะไร?“ คนรู้จักกลิ่นดมเครื่องประดับนั้นแล้วก็รู้ว่ากลิ่นดอกประยงค์ จึงกล่าวคาถานี้ในเอกนิบาตว่า :-
„ของหอมทุกอย่างไม่มี มีแต่กลิ่นดอกประยงค์ ล้วน หญิงนักเลงคือหญิงขโมยกล่าวคำเท็จ หญิงแก่ คือหญิงเจ้าของกล่าวคำจริง.“
บรรดบทเหล่านั้น บทว่า ธุตฺตี ได้แก่ หญิงนักเลงฯ บทว่า อาหุ แปลว่า ย่อมกล่าว, อีกอย่างหนึ่ง ได้กล่าวแล้วอย่างนี้นั่นเทียวฯ
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ยังมหาชนให้รู้เหตุการณ์นั้นแล้วถามว่า แกเป็นขโมยหรือ แล้วให้สารภาพว่าเป็นขโมย จำเดิมแต่นั้น ความที่พระมหาสัตว์เป็นบัณฑิตก็ปรากฏแก่มหาชน.
ที่มา : Palipage : Guide to Language - Pali
0 comments: