วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2564

พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พระราหุล ทำใจเหมือน ดิน น้ำ ลม ไฟ

ทรงให้พระราหุล ทำใจเหมือนดินน้ำไฟลม 

พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี ได้ตรัสสสอนพระราหุล ถึงการพิจารณาธาตุ ๕ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม และอากาศ โดยแยกออกเป็นส่วน ๆ ตอนท้าย  ได้ตรัสให้พระราหุลทำใจเหมือน ดิน น้ำ ไฟ ลม และอากาศ พอสรุปเป็นใจความได้ดังนี้ :- 

“๑. ราหุล ! เธอจงทำจิตให้เหมือนแผ่นดินเถิด  เพราะเมื่อเธอทำจิตให้เหมือนแผ่นดินเป็นประจำอยู่เสมอแล้ว  เมื่อกระทบอารมณ์ ที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจก็ดี  อารมณ์เหล่านั้นจะไม่สามารถทำให้จิตใจหวั่นไหวได้

ราหุล ! เปรียบเสมือนคนทั้งหลาย ทิ้งสิ่งของที่สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ถ่ายอุจจาระรดบ้าง ถ่ายปัสสาวะรดบ้าง บ้วนน้ำลายรดบ้าง เทสิ่งของสกปรกอื่นลงบ้าง ลงที่แผ่นดิน แต่แผ่นดินจะอึดอัดระอา หรือรังเกียจด้วยสิ่งของนั้น ๆ ก็หาไม่ ฉันใด ?

ราหุล ! เธอจงทำจิตให้เสมอแผ่นดินฉันนั้นแล  เพราะเมื่อเธอทำจิตให้เหมือนแผ่นดินอยู่  เมื่อมีการกระทบกับอารมณ์เกิดขึ้น  ความรักหรือความชัง ก็จะไม่สามารถครอบงำจิตเธอได้ฉันนั้น

 ๒. ราหุล ! เธอจงทำจิตให้เหมือนน้ำเถิด  เมื่อเธอทำจิตให้เหมือนน้ำแล้ว  จะไม่เกิดความชอบหรือความชัง ครอบงำจิตได้ ราหุล ! เปรียบเหมือนคนทั้งหลาย  ล้างของหรือทิ้งของที่สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้างลงในน้ำ  น้ำจะอึดอัดระอาหรือรังเกียจด้วยของนั้น ๆ ก็หาไม่ ฉันใด ?

ราหุล ! เธอจงทำจิตให้เสมอด้วยน้ำฉันนั้นแล  เมื่อกระทบอารมณ์แล้ว  ความชอบและความชัง จะไม่สามารถครอบงำจิตเธอได้ฉันนั้น.

 ๓. ราหุล ! เธอจงทำจิตให้เหมือนไฟเถิด เพราะไฟนั้น เมื่อมีผู้ทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ทิ้งอุจจาระ ปัสสาวะบ้างฯ ไฟจะรู้สึกอึดอัดระอาหรือรังเกียจด้วยสิ่งนั้น ๆ ก็หาไม่ ฉันใด ?

ราหุล ! เมื่อเธอทำจิตให้เหมือนด้วยไฟอยู่ การกระทบกับสิ่งที่ชอบและชังก็ย่อมจะไม่ปรุงแต่งให้จิตแปรปรวนได้ ฉันนั้น.

๔. ราหุล ! เธอจงทำจิตให้เหมือนลมเถิด เพราะลมนั้นย่อมพัดไปถูกต้องของสะอาดบ้างไม่สะอาดบ้าง พัดถูกอุจจาระ ปัสสาวะบ้างฯ ลมจะรู้สึกอึดอัดระอาหรือรังเกียจต่อสิ่งเหล่านั้นก็หาไม่ ฉันใด ?

ราหุล ! เมื่อเธอทำจิตให้เหมือนด้วยลมอยู่ การกระทบกับสิ่งที่ชอบและชังก็ย่อมจะไมปรุงแต่งให้จิตของเธอแปรปรวนได้ฉันนั้น.

๕. ราหุล ! เธอจงทำจิตให้เหมือนอากาศเถิด เพราะอากาศนั้นไม่ตั้งอยู่ในที่ไหน ฉันใด ?ราหุล ! เมื่อเธอทำจิตให้เหมือนด้วยอากาศอยู่ตลอดเวลาแล้ว เมื่อกระทบกับอารมณ์ย่อมจะไม่เกิดความชอบและความชังขึ้นได้ ฉันนั้น” (มหาราหุโลวาทสูตร ๑๓/๑๒๖)

พระสูตรนี้ เหมาะกับเป็นหลักคิดของท่านใดบ้าง ? 

ผู้ที่มีทิฏฐิ มานะ อัตตา และโทสะจริต น่าจะลองนำเอาคำสอน ในพระสูตรนี้ไปใช้เป็นประจำ เพื่อลดความโทมนัส น้อยใจหรือขัดเคืองใจ เมื่อเห็นว่าผู้อื่นล่วงเกินแล้ว ทำให้เกิดความไม่สบายใจ หงุดหงิดหรือรำคาญใจ

แม้ทำไม่ได้เด็ดขาด ตามพระสูตรนี้ ถ้าเราได้หัดทำอยู่เสมอ ๆ มีสติสัมปชัญญะ ระวังจิต ไม่ปล่อยไปตามอารมณ์ ที่มากระทบ จิตของเราก็จะสงบ  นั่นก็คือจุดหมายปลายทางของความสุขที่ทุกคนปรารถนา  แม้ได้รับเพียงครั้งคราว ก็นับว่าประเสริฐสุดแล้ว.



แหล่งข้อมูล : ธรรมจักร

Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: