วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2564

ภัยต่อพุทธศาสนา ที่น่ากลัวกว่าเรื่องอื่นๆ


ภัยต่อพุทธศาสนา ที่น่ากลัวกว่าเรื่องอื่นๆ

“แม้ปัจจุบันนี้มันก็เป็นการยากที่จะสอนลัทธิเรื่อง "ไม่มีตัวตน" เป็นการยากที่จะสอนลัทธิธรรมะบริสุทธิ์ล้วนๆ เพราะว่าเรื่อง "ไสยศาสตร์" มันกลับมาอย่างเข้มข้น เชื่อเรื่องตัวตน เชื่อเรื่องผีสางเทวดาอะไรที่มันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กลายเป็นเรื่องไม่ใช่พุทธศาสนา แล้วก็ลุกลามเข้ามาในขอบเขตของพุทธศาสนา จนกลายเป็นว่าเรื่องไสยศาสตร์นั้นเขาไปทำกันกลางโบสถ์ ในโบสถ์ของพุทธศาสนานั้นเอง อย่างนี้น่ากลัวกว่าอันตรายของพุทธศาสนาที่น่ากลัวกว่า ก็คือเรื่องอย่างนี้ อย่าไปทะเลาะกันเรื่องอย่างอื่นเลย จงดูไอ้ความน่ากลัว ที่เป็นการต่อสู้กันระหว่างความถูกต้องกับความไม่ถูกต้อง ระหว่าง "วิชชา" กับ "อวิชชา" ระหว่าง "พุทธศาสนา" กับ "ไสยศาสตร์" ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าหวาดเสียว น่าอันตรายอย่างยิ่ง ถ้าเอาไสยศาสตร์หรือความขลังความศักดิ์สิทธิ์มาใส่ลงไปในพุทธศาสนา พุทธศาสนาก็หมด จึงเตือนแล้วเตือนอีกว่า "อย่าเอาความขลังความศักดิ์สิทธิ์ มาใส่ลงไปในพุทธศาสนา พุทธศาสนามันจะหมด มันกลายเป็นไสยศาสตร์ไป"
จงรักษาความเป็นไปตามหลักแห่งเหตุผล คือ "กฏอิทัปปัจจยตา" ให้คงมีอยู่ในพุทธศาสนา นั่นแหละ ป้อมค่ายมั่นคงของพุทธศาสนา" - พุทธทาสภิกขุ

ที่มา : ธรรมเทศนาวิสาขบูชา ๒๕๒๗ หัวข้อเรื่อง "การปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความไม่ตาย" เมื่อ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๒๗ จากหนังสือ "การปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความไม่ตาย"

ความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ ระวังให้ดี!

“ระวังให้ดี! ในโบสถ์ที่มีแต่การอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ เสี่ยงเซียมซี นั้น จะไม่มี“ธรรมะ”อะไรเลยก็ได้ นอกจาก “การขอทานทางวิญญาณ” หรือ “การติดสินบน” ที่เอาเปรียบมากเกินไป ถ้าเอาความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ มาใส่ให้แก่ศาสนาแล้ว เราก็ไม่ต้องทำอะไรกัน นอกจากนั่งอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันเรื่อยไป แล้วจะอยู่กันได้อย่างไร ความขลัง หรือ ศักดิ์สิทธิ์ ของท่านอาจารย์“ผู้วิเศษ”นั้น ขึ้นอยู่กับ..ความงมงายมาก งมงายน้อย โง่มาก โง่น้อย ของผู้เป็นสาวกนั่นเอง จึงไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนา ซึ่งมี “ยถาภูตสัมมัปปัญญา” เป็นหลัก ถ้ายังชอบคำว่า ขลัง หรือ ศักดิ์สิทธิ์ ก็ยกให้เป็นอำนาจของ “กฎอิทัปปัจจยตา” อย่าให้เป็นความขลังศักดิ์สิทธิ์ ที่ตั้งรากฐานอยู่บนความงมงายของประชาชนเลย” - พุทธทาสภิกขุ


ที่มา : จากหนังสือ “อสีติสังวัจฉรายุศมานุสรณ์” หน้า ๑๘

"ไสยศาสตร์" มันจำเป็นสำหรับ..คนปัญญาอ่อน "สิ่งที่เรียกว่าไสยศาสตร์นี่ มันจำเป็นสำหรับ..คนปัญญาอ่อน ไสยศาสตร์เป็นศาสนาของคนปัญญาอ่อน คุณอย่าปัญญาอ่อนสิ อย่าเป็นผู้ปัญญาอ่อน ไสยศาสตร์จะหมดอำนาจหมดกำลัง ถ้าคุณยังเป็นปัญญาอ่อนอยู่มันก็ยังต้องการไสยศาสตร์อย่างที่หลีกไม่ได้ช่วยไม่ได้... มันเป็นต้นตอแห่งปัญหาของโลกทั้งโลกเลย มันเป็นปัจจัยที่หล่อเลี้ยงอวิชชาไว้มากเหลือเกิน ไสยศาสตร์เป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงอวิชชาไว้ให้ยังคงมีกำลังรุนแรงอยู่ตลอดเวลา ปัญหาทางไสยศาสตร์ โลกมันถูกครอบงำอยู่ด้วยปัญหาอย่างนี้ มันจึงลืมตาไม่ขึ้น แม้ว่าจะมีการศึกษา เจริญก้าวหน้าเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นบัณฑิตเป็นอะไรกันเต็มที่แล้ว ไอ้ความรู้สึกทางไสยศาสตร์มันก็ยังอยู่ ต่อให้ไปเรียนจากเมืองนอกมีปริญญาเป็นหางมาถึงเมืองไทย ก็ยังไม่ละทิ้งไอ้ไสยศาสตร์ได้ คือ ความกลัวโดยไม่มีเหตุผล ความอยากโดยไม่รู้จักประมาณ  ความเชื่อว่ามีสิ่งหนึ่งซึ่งเราไม่รู้ได้ไม่เห็นหน้าได้ไม่รู้จักได้ เป็นสิ่งที่มีอำนาจอยู่เบื้องหลัง แม้จะไปเรียนวิทยาศาสตร์จบปริญญาวิทยาศาสตร์มามันก็ไม่ละทิ้งความรู้สึกอันนี้ได้ เพราะมันฝังอยู่ลึก อาตมารู้จักด็อกเตอร์อังดรัวต์คนหนึ่ง จบมาจากประเทศฝรั่งเศส สิ่งแรกที่มาถึงประเทศไทยที่เขาจะทำคือไปรดน้ำมนต์ที่วัดไหนดี เขาบอกว่าช่วยแนะให้ที จะไปรดน้ำมนต์ที่วัดไหนดี กลับมาจากเมืองนอกใหม่ๆ สิ่งที่เขาจะทำ ก็แปลว่าไอ้การศึกษาที่เมืองนอกมันไม่ช่วยแก้ไอ้ความรู้สึกแบบไสยศาสตร์ได้ นักวิทยาศาสตร์มันก็ยังงมงายในด้านจิตใจ แม้มันจะสว่างไสวในด้านวัตถุ มันยังงมงายด้านจิตใจ  ฉะนั้น ความหวังที่จะได้อะไรจากสิ่งที่มองไม่เห็นตัว หรือความงมงายนั้น มันก็ยังเหลืออยู่เท่าเดิม 
ทำไมเราจึงปัญญาอ่อน เพราะว่าไอ้ศรัทธางมงายมันมาแย่งเอาไป แย่งรากฐานเอาไปหมด ศรัทธาที่งมงายมันมาแย่งรากฐานเอาไปหมด รากฐานของปัญญาแล้ว ปัญญามันจึงทรุดลงเป็นปัญญาอ่อน ปัญญาอ่อนอย่างนี้หมายความว่าปัญญาทางจิตทางวิญญาณ ไม่ใช่ปัญญาอ่อนทางวัตถุ เด็กๆ ทุพพลภาพ เด็กหรือสัตว์พิการสมองพิการปัญญาอ่อนอย่างนั้นไม่เกี่ยวกันกับเรื่องนี้ 

ปัญญาอ่อนในเรื่องนี้หมายถึงว่ามันอ่อนไปด้วยความรู้ ความถูกต้องของพระธรรม มันปัญญาอ่อนอย่างนี้ ไอ้เด็กปัญญาอ่อนที่เก็บไว้ตามโรงพยาบาลนั่นไม่เป็นไร นั่นมันเป็นธรรมชาติ มันเป็นความไม่สมประกอบของไอ้ระบบกาย แต่คนที่มีร่างกายดี กลับมีปัญญาอ่อนเพราะรู้ผิดนี่ คือสิ่งที่เป็นปัญหา ที่ทำให้โลกนี้จมอยู่ในความมืดไม่ลืมตา เราเรียกกันว่าไสยศาสตร์ ปัญญาอ่อนเท่าไร มันก็ยิ่งต้องการไสยศาสตร์มากเท่านั้นแหละ
ใครปัญญาอ่อนเท่าไร เขาจะยิ่งชอบยิ่งต้องการไสยศาสตร์มากเท่านั้น น่าเห็นใจ จะแก้ไขกันอย่างไร มันก็ต้องเพิ่มปัญญา อย่าให้อ่อน ให้เป็นปัญญาแข็ง ถ้าถูกด่าว่าปัญญาอ่อนอย่าโกรธเลย ถ้าเขาหาว่าเราปัญญาอ่อนบ้างก็อย่าโกรธเลย เพราะมันอ่อนอยู่จริงๆ รีบทำให้มันกล้าแข็งเสียเถิด" - พุทธทาสภิกขุ

ที่มา : แสดงธรรมล้ออายุ ปี ๒๕๒๕ หัวข้อธรรม "อยากจะร้องไห้ เพราะจะต้องรักษาไสยศาสตร์ไว้สำหรับคนปัญญาอ่อน"

คำว่า “ขลัง-ศักดิ์สิทธิ์”
ไม่มีในพระพุทธศาสนา แต่ก็ยังมีคำว่า... “สีลัพพตปรามาส”อยู่แทน ทั้งนี้ เพราะในพระพุทธศาสนา ไม่มีหรือไม่ต้องการจะมี นั่นเอง ความขลังหรือศักดิ์สิทธิ์ ของท่าน“อาจารย์ผู้วิเศษ”นั้น ขึ้นอยู่กับ... ความงมงายมาก งมงายน้อย ความโง่มาก โง่น้อย ของผู้เป็น“สาวก” นั่นเอง จึงไม่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ซึ่งมี“ยถาภูตสัมมัปปัญญา” เป็นหลัก. - พุทธทาสภิกขุ

ที่มา : จาก“ฟ้าสางทางความลับสุดยอด”, ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ - รวบรวม




Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: