มิลินทปัญหา (ตอนที่ ๑๒) ปัญหาที่ ๑ พุทธัสสะ อัตถินัตถิภาวปัญหา
พระราชารับสั่งถามว่า พระคุณเจ้านาคเสน ท่านเคยเห็นพระพุทธเจ้าหรือ ? พระนาคเสน, อาตมภาพไม่เคยเห็นหรอก มหาบพิตร. พระเจ้ามิลินท์, ถ้าอย่างนั้น อาจารย์ทั้งหลายของท่านเคยเห็นพระพุทธเจ้าหรือไร?พระนาคเสน, อาจารย์ทั้งหลายของอาตมาภาพก็ไม่เคยเห็นหรอก มหาบพิตร. พระเจ้ามิลินท์, ถ้าอย่างนั้นนะ พระคุณเจ้านาคเสน พระพุทธเจ้าก็ไม่มีจริง. พระนาคเสน, ขอถวายพระพร พระองค์เคยทรงทอดพระเนตรเห็นแม่น้ำอูหานที ที่ภูเขาหิมพานต์หรือ ? พระเจ้ามิลินท์, ไม่เคยเห็นหรอกพระคุณเจ้า. พระนาคเสน, ถ้าอย่างนั้น พระชนกของพระองค์ เคยทรงทอดพระเนตรเห็นแม่น้ำอูหานทีหรือ ? พระเจ้ามิลิน, ก็ไม่เคยทรงทอดพระเนตรเห็นหรอก พระคุณเจ้า. พระนาคเสน, ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นแม่น้ำอูหานที ก็ไม่มีจริง
พระเจ้ามิลินท์, มีจริง พระคุณเจ้านาคเสน ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นแม่น้ำอูหานที แม้บิดาของข้าพเจ้าไม่เคยเห็นแม่น้ำอูหานทีก็จริงอยู่ ถึงกระนั้น แม่น้ำอูหานที ก็มีจริง. พระนาคเสน, ขอถวายพระพรอุปมาฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้นเหมือนกัน อาตมาภาพไม่เคยเห็นพระผู้มีพระภาค แม้อาจารย์ทั้งหลายของอาตมาภาพก็ไม่เคยเห็นพระผู้มีพระภาค ก็จริงอยู่ ถึงกระนั้น พระผู้มีพระภาค ก็มีจริง. พระเจ้ามิลินท์, พระคุณเจ้านาคเสน ท่านตอบสมควรแล้ว. จบพุทธัสสะ อัตถินัตถิภาวปัญหาที่ ๑
คำอธิบายปัญหาที่ ๑ ในพุทธวรรคนี้มี ๑๐ ปัญหา
ปัญหาที่มีการถามถึงความมีหรือไม่มีแห่งพระพุทธเจ้าชื่อว่า พุทธัสสะ อัตถินัตถิภาวปัญหา คำว่าแม่น้ำอูหานที ได้แก่แม่น้ำที่ไหลแยกออกจากสระอโนดาตบนภูเขาหิมพานต์ ซึ่งได้ชื่อว่า “อูหา” เพราะไหลไปก็ส่งเสียงดังว่า “อูหา, อูหา” ความจริงก็เป็นชื่อของแม่น้ำคงคาที่ไหลมาจากสระอโนดาต ตรงส่วนที่เป็นวังน้ำวนนั่นเอง. จบคำอธิบายปัญหาที่ ๑
ปัญหาที่ ๒ พุทธัสสะ อนุตตรภาวปัญหา
พระราชารับสั่งถามว่า พระคุณเจ้านาคเสน พระพุทธเจ้า ทรงเป็นบุคคลผู้ที่หาใครยิ่งกว่ามิได้จริงหรือ ? พระนาคเสน, ถูกต้องมหาบพิตร พระผู้มีพระภาคทรงเป็นบุคคลผู้ที่หาใครยิ่งกว่ามิได้จริง. พระเจ้ามิลินท์, พระคุณเจ้านาคเสน ท่านก็ไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้า ท่านจะทราบได้อย่างไรว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นบุคคลผู้หาใครยิ่งกว่ามิได้ ? พระนาคเสน, ขอถวายพระพร พระองค์จะทรงสำคัญความข้อนั้นอย่างไร ผู้คนที่ไม่เคยเห็นมหาสมุทร จะทราบได้หรือไม่ว่า มหาสมุทรกว้างใหญ่ ลึก หาประมาณมิได้ หยั่งถึงได้ยาก เป็นที่แม่น้ำใหญ่ ๕ สายเหล่านี้ ไหลมาบรรจบเป็นประจำสม่ำเสมอ คือแม่น้ำคงคา แม่น้ำยมุนา แม่น้ำอจิรวดี แม่น้ำสรภู แม่น้ำมหี มหาสมุทรนั้น ไม่ปรากฏว่าพร่องไปหรือเต็มล้นฝั่งเลย ? พระเจ้ามิลินท์, ใช่ ทราบได้ พระคุณเจ้า. พระนาคเสน, ขอถวายพระพร อุปมาฉันใดอุปไมยก็ฉันนั้นเหมือนกัน อาตมาภาพได้พบเห็นพระอรหันต์สาวกทั้งหลายผู้ดับรอบแล้ว ก็ทราบว่าพระผู้มีพระภาคทรงเป็นบุคคลที่หาใครยิ่งกว่ามิได้. พระเจ้ามิลินท์, พระคุณเจ้าหน้าเกษมท่านตอบสมควรแล้ว. จบพุทธัสสะ อนุตตรภาวปัญหาที่ ๒
คำอธิบายปัญหาที่ ๒
ปัญหาเกี่ยวกับความเป็นผู้ที่หาใครยิ่งกว่ามิได้แห่งพระพุทธเจ้า ชื่อว่า พุทธัสสะ อนุตตรภาวปัญหา. คำว่า อนุตฺตโร – ผู้ที่หาใครยิ่งกว่ามิได้ คือ ผู้ที่หาใครยิ่งกว่าคือวิเศษกว่าด้วยคุณทั้งหลายมิได้. คำว่า อุปมาฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้นเหมือนกัน ความว่า เปรียบเหมือนว่า ผู้ที่ไม่เคยเห็นมหาสมุทร คือไม่เคยไปในมหาสมุทร เห็นแม่น้ำใหญ่ ๕ สายที่ไหลไปบรรจบกันที่มหาสมุทรเหล่านี้แล้ว ก็ย่อมทราบว่ามหาสมุทรกว้างใหญ่ ฉันใด อาตมาภาพได้พบเห็นพระสาวกผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นภิกษุ เป็นภิกษุณี เป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นคฤหบดีผู้อยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาค ผู้มีกิเลสทั้งหลายดับรอบเหล่านี้แล้ว ก็ย่อมทราบว่าพระผู้มีพระภาคทรงเป็นนายสารถีฝึกบุรุษผู้ที่อาจฝึกได้หาใครยิ่งกว่ามิได้ฉันนั้นเหมือนกัน. จบคำอธิบายปัญหาที่ ๒
ปัญหาที่ ๓ พุทธัสสะ อนุตตรภาวชานนปัญหา
พระราชารับสั่งถามว่า พระคุณเจ้านาคเสน เราอาจทราบได้หรือไม่ว่า พระพุทธเจ้าทรงเป็นบุคคลผู้ที่หาใครยิ่งกว่ามิได้ ? พระนาคเสน, ใช่ ขอถวายพระพร เราอาจทราบได้ว่าพระผู้มีพระภาคทรงเป็นบุคคลผู้ที่หาใครยิ่งกว่ามิได้. พระเจ้ามิลินท์, พระคุณเจ้านาคเสน เราอาจทราบได้อย่างไรว่า พระพุทธเจ้าทรงเป็นบุคคลผู้ที่หาใครยิ่งกว่ามิได้. พระนาคเสน, ขอถวายพระพร ก่อนหน้านี้ก็เคยมีพระอาจารย์นักเขียนชื่อว่าพระติสสเถระ เมื่อท่านมรณภาพล่วงไปแล้วหลายปี คนทั้งหลายยังรู้จักกันได้อย่างไร ? พระเจ้ามิลินท์, คนทั้งหลายยังรู้จักท่านโดยงานเขียน. พระนาคเสน, ขอถวายพระพรอุปมาฉันใดอุปไมยก็ฉันนั้นเหมือนกัน ผู้ใดเห็นพระธรรม ผู้นั้นย่อมเห็นพระผู้มีพระภาค (เห็นอริยสัจธรรม โลกุตรธรรม – ณัฏฐ) เพราะว่าพระธรรม พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้. พระเจ้ามิลินท์, พระคุณเจ้านาคเสน ท่านตอบสมควรแล้ว. จบอนุตตรภาวชานนปัญหาที่ ๓
คำอธิบายปัญหาที่ ๓
ปัญหาเกี่ยวกับความรู้ถึงความเป็นผู้ที่หาใครยิ่งกว่ามิได้แห่งพระพุทธเจ้า ชื่อว่า พุทธัสสะ อนุตตรภาวชานนปัญหา. คำว่า อุปมาฉันใดอุปไมยก็ฉันนั้น ความว่า เปรียบเหมือนว่าคนทั้งหลายรู้จักท่านพระติสสเถระผู้เป็นอาจารย์นักเขียน ซึ่งมรณภาพไปแล้วหลายปี โดยงานเขียนคือโดยการพบเห็นงานเขียนของท่าน ฉันใด พวกเราก็ย่อมเห็นคือย่อมรู้จักพระผู้มีพระภาคโดยพระธรรม คือโดยการเห็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคนั้น ทรงแสดงไว้ ฉันใด. จบคำอธิบายปัญหาที่ ๓
ปัญหาที่ ๔ ธัมมทิฏฐปัญหา
พระราชารับสั่งถามว่าพระคุณเจ้านาคเสนท่านได้เห็นพระธรรมแล้วหรือ ? (เจาะลึกถึงตัวท่านนาคเสน – ณัฏฐ) พระนาคเสน, ขอถวายพระพรมหาบพิตร พวกสาวกควรประพฤติธรรมตลอดชีวิต เพราะเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำไว้ เพราะเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้. พระเจ้ามิลินท์, พระคุณเจ้านาคเสน ท่านตอบสมควรแล้ว. จบธัมมทิฏฐปัญหาที่ ๔. คำอธิบายปัญหาที่ ๔. ปัญหาเกี่ยวกับธรรมที่ได้เห็นแล้ว ชื่อว่า ธัมมทิฏฐปัญหา. คำว่า เพราะเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำไว้เป็นต้น คือ เพราะเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าผู้มีพระปัญญาจักษุ แม้ทุกพระองค์ ทรงแนะนำไว้ คือทรงแสดงไว้ และทรงบัญญัติไว้. จบคำอธิบายปัญหาที่ ๔. ปัญหาที่ ๕ อสังกมนปฏิสันทหนปัญหา. พระราชารับสั่งถามว่า พระคุณเจ้านาคเสน จิตไม่เคลื่อนไปด้วย ก็ปฏิสนธิได้ด้วยหรือ ? พระนาคเสน, ขอถวายพระพรมหาบพิตร ถูกต้องแล้ว จิตไม่เคลื่อนไปด้วยก็ปฏิสนธิได้ด้วย. พระเจ้ามิลินท์, พระคุณเจ้านาคเสน จิตไม่เคลื่อนไปด้วย ก็ปฏิสนธิได้ด้วย อย่างไร ขอท่านจงกระทำอุปมา. พระนาคเสน, ขอถวายพระพรมหาบพิตร บุรุษบางคนถึงจุดไฟตะเกียง (ใหม่) ขึ้นจากไฟตะเกียง (เก่า), ไฟตะเกียง (ใหม่) เป็นไฟที่เคลื่อนจากตะเกียง (เก่า) ไปหรือ ? พระเจ้ามิลินท์, หามิได้ พระคุณเจ้า. พระนาคเสน, ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้นเหมือนกัน จิตไม่เคลื่อนไปด้วย ก็ปฏิสนธิได้. พระเจ้ามิลินท์, ขอท่านจงกระทำอุปมายิ่งอีกหน่อยเถิด. พระนาคเสน ขอถวายพระพร เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงเป็นพระราชกุมาร พระองค์ยังทรงจำได้หรือไม่ ว่า ทรงได้รับเกียรติคุณบางอย่างในสำนักของอาจารย์ผู้มีเกียรติคุณ ? พระเจ้ามิลินท์, ใช่ พระคุณเจ้า ข้าพเจ้ายังจำได้. พระนาคเสน, ขอถวายพระพร เกียรติคุณที่พระองค์ทรงได้รับนั้น เคลื่อนไปจากตัวพระอาจารย์หรือ ? พระเจ้ามิลินท์, หาไม่ได้พระคุณเจ้า. พระนาคเสน, ขอถวายพระพรอุปมาฉันใดอุปไมยก็ฉันนั้นเหมือนกัน จิตไม่เคลื่อนไปด้วย ก็ปฏิสนธิได้ด้วย. พระเจ้ามิลินท์, พระคุณเจ้านาคเสน ท่านตอบสมควรแล้ว. จบอสังกมนปฏิสันทหนปัญหาที่ ๕
คำอธิบายปัญหาที่ ๕
ปัญหาว่าด้วยการไม่เคลื่อนไปก็ปฏิสนธิได้ ชื่อว่า อสังกมนปฏิสันทหนปัญหา. คำว่า จิตไม่เคลื่อนไปด้วย ก็ปฏิสนธิได้ด้วยหรือความว่า พระราชารับสั่งถามว่า จิตปฏิสนธิเกิดในภพใหม่ได้ โดยที่ไม่มีการเคลื่อนไปจากภพเก่าหรือ. ในคำนั้น จิตดวงก่อนหน้าอันเป็นจิตดวงสุดท้ายของภพก่อน ชื่อว่าจุติ (เคลื่อน) จิตดวงหลังอันเป็นจิตดวงแรกของภพนี้ ชื่อว่า ปฏิสนธิ จิตดวงก่อนหน้า ทำหน้าที่จุติคือเครื่องจากภพแล้วก็แตกดับไปในขณะนั้นนั่นแหละ หาเคลื่อนไปในภพถัดไปได้ไม่ เพราะฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า ไม่มีจิตอะไรๆ เคลื่อนจากภพเก่าสู่ภพนี้ ก็ที่ได้ชื่อว่า จุติจิต แปลว่า จิต เคลื่อนก็เพราะว่ามีกิจหรือหน้าที่ ที่เป็นเหมือนการเคลื่อนจากภพเท่านั้น โดยเกี่ยวกับว่า พอดับไปก็เป็นเหตุให้พบใหม่ ไม่ใช่เคลื่อนไปได้จริงๆ อนึ่ง เพราะจิตดวงก่อนนี้ดับไปแล้ว จิตดวงหลังก็เกิดขึ้นทำหน้าที่ปฏิสนธิ คือทำหน้าที่เหมือนกับว่าเชื่อมภพใหม่เข้ากับพบเก่า ทำให้มีภพใหม่ต่อไปอีก เมื่อเป็นอย่างนี้ก็กล่าวได้ว่า จิตดวงนี้ไม่ใช่จิตที่เคลื่อนมาจากภพก่อน ก็เป็นอันว่าจิตดวงก่อนกับจิตดวงหลังเป็นจิตคนละดวงกัน ไม่ปะปนกัน แต่ว่าเป็นไปเกี่ยวข้องกันโดยเป็นเหตุและผลการตามหลักการดังกล่าวมานี้ ฉะนี้ แล. จบคำอธิบายปัญหาที่ ๕
ปัญหาที่ ๖ เวทคูปัญหา
พระราชารับสั่งถามว่า พระคุณเจ้านาคเสน เวทคูมีอยู่จริงหรือ? พระนาคเสน, ขอถวายพระพรมหาบพิตร ว่าโดยปรมัตถ์ เวทคูมีอยู่จริงไม่. พระเจ้ามิลินท์, พระคุณเจ้านาคเสน ท่านตอบสมควรแล้ว. จบเวทคูปัญหาที่ ๖
ปัญหาที่มีการถามถึงเวทคู คือตัวอัตชีวะภายใน หรือบุคคลซึ่งเป็นผู้คอยรู้อารมณ์ทางทวารทั้ง ๖ ชื่อว่า เวทคูปัญหา. คำว่า โดยปรมัตถ์ คือ ว่าตามความจริงโดยปรมัตถ์อันเพิกแล้วจะสัตว์บุคคล ความว่า ว่าตามความจริงโดยปรมัตถ์ อัตตาชีวะ หรือบุคคล ไม่มีอยู่จริงหรอก
ปัญหาที่ ๗ อัญญกายสังกมนปัญหา
พระราชารับสั่งถามว่า พระคุณเจ้านาคเสน สัตว์อะไรๆ ผู้เคลื่อนจากกายนี้ไปสู่กายอื่นมีอยู่หรือ ? พระนาคเสน, ไม่มีหรอก ขอถวายพระพร. พระเจ้ามิลินท์, พระคุณเจ้านาคเสน ถ้าหากว่าสัตว์ผู้เคลื่อนจากกายนี้สู่กายอื่นไม่มีไซร้ ก็จะเป็นผู้พ้นจากกรรมชั่วทั้งหลายได้ ไม่ใช่หรือ ? พระนาคเสน, ใช่แล้ว ขอถวายพระพร ถ้าหากว่าเขาไม่ปฏิเสธ เขาก็จะเป็นผู้พ้นจากกรรมชั่วทั้งหลายได้ ขอถวายพระพร แต่เพราะเหตุที่เขายังปฏิสนธิ เพราะฉะนั้นก็หาเป็นผู้พ้นจากกรรมชั่วทั้งหลายได้ไม่. พระเจ้ามิลินท์, ขอท่านจงกระทำอุปมา. พระนาคเสน, ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนว่า บุรุษบางคนขโมยมะม่วงของบุรุษอีกคนหนึ่งไป บุรุษผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ต้องโทษมิใช่หรือ. พระเจ้ามิลินท์, ใช่ พระคุณเจ้าเขาจะต้องเป็นผู้รับโทษ. พระนาคเสน, ขอถวายพระพร บุรุษผู้นั้นมิได้ขโมยมะม่วงที่บุรุษผู้เป็นเจ้าของนั้นปลูกไว้ เพราะเหตุใดเขาจึงต้องเป็นผู้ต้องโทษเล่า ? พระเจ้ามิลินท์, พระคุณเจ้า มะม่วง (ที่ถูกขโมย) เหล่านั้น อาศัยมะม่วง (ที่บุรุษผู้เป็นเจ้าของปลูกไว้) เหล่านั้นจึงเกิดได้ เพราะฉะนั้น เขาต้องเป็นผู้ต้องโทษ. พระนาคเสน, ขอถวายพระพร อุปมาฉันใดอุปไมยก็ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลทำกรรมดีบ้าง ชั่วบ้าง ด้วยนามรูปนี้, นามรูปอื่นจึงปฏิสนธิเพราะกรรมนั้น เพราะฉะนั้น จึงหาเป็นผู้พ้นจากกรรมชั่วทั้งหลายได้ไม่. พระเจ้ามิลินท์, พระคุณเจ้านาคเสน ท่านตอบสมควรแล้ว. จบอัญญกายสังกมนปัญหาที่ ๗
คำอธิบายปัญหาที่ ๗
ปัญหาที่มีการถามถึงการเคลื่อนจากกายนี้สู่กายอื่นชื่อว่า อัญญกายสังกมนปัญหา. คำว่า กายนี้ ได้แก่ กายคือนามรูปนี้ในภพปัจจุบันนี้ คำว่า กายอื่น ได้แก่กายคือนามรูปอื่น ในภพอื่น ในอุปมาและอุปไมยมีนัยเปรียบเทียบกันดังต่อไปนี้. มะม่วงที่ถูกขโมย อาศัยมะม่วงที่ผู้เป็นเจ้าของปลูกไว้จึงเกิดได้ เพราะฉะนั้น บุรุษผู้ขโมยมะม่วงอื่นจากมะม่วงที่เจ้าของปลูกไว้นั้น จึงไม่อาจพ้นจากความเป็นผู้ต้องโทษ ฉันใด นามรูปอื่นอาศัยกรรมดีหรือชั่วที่ได้ทำไว้ด้วยนามรูปนี้ จึงปฏิสนธิได้เพราะฉะนั้น สัตว์ผู้ที่ทำกรรมชั่วไว้นั้น แม้เป็นไปเนื่องกับนามรูปอื่นจากนามรูปนี้แล้ว ก็ไม่ชื่อว่าพ้นจากกรรมชั่วนั้น ฉันนั้น. คำที่เหลือก็พึงทราบตามนัยที่ได้กล่าวแล้วในปัญหาก่อนๆ เถิด. จบคำอธิบายปัญหาที่ ๗
ปัญหาที่ ๘ กัมมผลอัตถิภาวปัญหา (บุญบาปที่ทำนั้นอยู่ตรงไหน ?)
พระราชารับสั่งถามว่า พระคุณเจ้านาคเสน กุศลกรรมก็ตาม อกุศลกรรมก็ตาม ที่สัตว์ได้ทำไว้ด้วยนามรูปนี้ กรรมเหล่านั้นตั้งอยู่ที่ไหน ? พระนาคเสน, ขอถวายพระพรมหาบพิตร กรรมเหล่านั้นพึงตามติดพันไปเหมือนเงาที่ติดตามตัวไป ฉะนั้น. พระเจ้ามิลินท์, พระคุณเจ้านาคเสน ท่านอาจแสดงกรรมนั้นได้หรือไม่ ว่า กรรมเหล่านั้นตั้งอยู่ที่ตรงนี้ หรือว่าที่ตรงนี้ ? พระนาคเสน, ขอถวายพระพร ใครๆ ไม่อาจแสดงกรรมเหล่านั้นได้ว่า กรรมเหล่านั้นตั้งอยู่ที่ตรงนี้ หรือว่าที่ตรงนี้. พระเจ้ามิลินท์, ขอท่านจงกระทำอุปมา. พระนาคเสน, ขอถวายพระพร พระองค์จะทรงสำคัญความข้อนั้นอย่างไร ต้นไม้ที่ยังไม่มีผลบังเกิด พระองค์ทรงสามารถแสดงผลไม้เหล่านั้นได้หรือไม่ว่า ผลเหล่านั้นจะตั้งอยู่ (จะบังเกิด) ที่ตรงนี้ หรือว่าที่ตรงนี้. พระราชา, ไม่สามารถแสดงได้หรอก พระคุณเจ้า. พระนาคเสน, อุปมาฉันใดอุปไมยก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อความสืบต่อ (แห่งนามรูป) ยังไม่ขาดสาย ใครๆ ก็ไม่อาจแสดงกรรมเหล่านั้นได้ว่า กรรมเหล่านั้นตั้งอยู่ที่ตรงนี้ หรือว่าที่ตรงนี้ (สังสารวัฏ – ณัฏฐ). พระเจ้ามิลินท์, พระคุณเจ้านาคเสน ท่านตอบสมควรแล้ว. จบกัมมผลอัตถิภาวปัญหาที่ ๘
คำอธิบายปัญหาที่ ๘
ปัญหาเกี่ยวกับภาวะที่กรรมมีผล ชื่อว่า กัมมผลอัตถิภาวปัญหา. คำว่า กรรมเหล่านั้นพึงตามติดพันไปเหมือนเงาที่ติดตามตัวไปฉะนั้น ดังนี้ เป็นการณโวหาร (คำพูดถึงเหตุคือกรรม) (คำพูดที่ใกล้เหตุ = กับผลที่ใกล้เหตุ – ณัฏฐ) พึงทราบความหมายอย่างนี้กรรมนั้น พึงตามติดพันไปเหมือนเงาที่ติดตามตัวไป เป็นคำที่ท่านกล่าวไว้เสมอเหมือนกันทั้งกุศลกรรม ทั้งอกุศลกรรม หรือเป็นสาธารณะ แต่ในธรรมบท ตรัสไว้สำหรับอกุศลกรรม ว่า :-
“ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวติ จกฺกํว วหโต ปทํ.” (ขุ. ธ. ๒๕/๑๕) “เพราะทุจริต ๓ อย่างนั้น ทุกข์จึงติดตามเขาไปเหมือนอย่างล้อเกวียนที่หมุนติดตามรอยเท้าโค (ผู้ลากเกวียน) ไปฉันฉะนั้น” ตรัสไว้สำหรับกุศลกรรมว่า
“ตโต นํ สุขมนฺเวติ ฉายาวอนุปายินี.” (ขุ. ธ. ๒๕/๑๕) “เพราะสุจริต ๓ อย่างนั้น สุขจึงติดตามเขาไปเหมือนอย่างเงาที่ติดตามตัวไปฉะนั้น”
ในพระดํารัสนี้ มีความหมายว่า เพราะทุจริต ๓ อย่างอันเป็นอกุศลกรรมที่เขาได้ก่อไว้นั้น ทุกข์คือนามรูปอันเป็นที่ประชุมแห่งทุกข์ หรือนามรูปที่บ้านเกิดในทุคติ อันเป็นผลของอกุศลกรรมนั้น ย่อมติดตามเขาไป คือจะติดตามไปบังเกิดแก่เขาในกาลทั้ง ๓ เหมือนอย่างอะไร ? เหมือนอย่างล้อเกวียนที่ติดตามรอยเท้าโค ผู้ชักลากเกวียนไปข้างหน้า ฉะนั้น เพราะสุจริต ๓ อย่าง อันเป็นกุศลกรรมนั้น สุขคือนามรูปอันเป็นที่ประชุมแห่งสุข หรือนามรูปที่บังเกิดในสุคติ อันเป็นผลของกุศลกรรมนั้นย่อมติดตามเขาไป คือจะติดตามไปบังเกิดแก่เขาในกาลทั้ง ๓ เหมือนอะไร ? เหมือนเงาที่ติดตามตัวไปฉะนั้น ก็คำว่า “เหมือนอย่างล้อเกวียนติดตามรอยเท้าโค” ก็ดี คำว่า “เหมือนอย่างเงาที่ติดตามตัวไป” ก็ดี ว่าโดยอรรถก็เป็นอันเดียวกัน เพราะเหตุนั้น ในที่นี้ คำอุปมาที่ว่า “เหมือนเงาที่ติดตามตัวไปฉะนั้น” พระเถระจึงกล่าวไว้เป็นสาธารณะแก่ ทั้งกุศลกรรม ทั้งอกุศลกรรม. เปรียบเหมือนว่า เมื่อร่างกายเดินไป เงาซึ่งเป็นของเนื่องอยู่กับร่างกายนี้ ก็ย่อมเดินไปด้วย เมื่อยืนก็ยืนด้วย เมื่อนั่งก็นั่งด้วย เมื่อนอนก็นอนด้วย เงา จึงชื่อว่าติดตามบุคคลนั้นไป ฉันใด เมื่อได้ทำกุศลกรรมก็ดี อกุศลกรรมก็ดี นามรูปอันเป็นผลของกรรมเหล่านั้น ก็ย่อมติดตามบังเกิดในกาลทั้ง ๓ ตามโอกาสของกรรมนั้นๆ กรรมอันเป็นเหตุของนามรูปนั้นจึงชื่อว่า ติดตามบุคคลนั้นไป ฉันนั้น เพราะเหตุนั้นนั่นแหละใครๆ จึงไม่อาจแสดงได้ว่า กรรมที่จะทำนามรูปให้บังเกิดนั้น ตั้งอยู่ที่ตรงนี้ หรือว่าตรงนี้ ดังนี้ได้ (กรรมดับไปแล้วแต่พินัยกรรมยังมีอยู่ – ณัฏฐ). จบคำอธิบายปัญหาที่ ๘
ปัญหาที่ ๙ อุปปัชชติชานนปัญหา
พระราชารับสั่งถามว่า พระคุณเจ้านาคเสน สัตว์ผู้จะเกิด ย่อมรู้ได้หรือว่า เราจะเกิด ? พระนาคเสน, ขอถวายพระพรมหาบพิตร ใช่ สัตว์ผู้จะเกิดย่อมรู้ได้ว่า เราจะเกิด. พระเจ้ามิลินท์, ขอท่านจงกระทำอุปมา. พระนาคเสน, ขอถวายพระพร คฤหบดีชาวนาฝังเมล็ดข้าวไว้ที่พื้นดิน เมื่อมีฝนตกดี ย่อมรู้หรือไม่ว่า ธัญญชาติจะบังเกิด ? พระเจ้ามิลินท์, ใช่ พระคุณเจ้านาคเสน เขาย่อมรู้ได้. พระนาคเสน, ขอถวายพระพร อุปมาฉันใดอุปไมยก็ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ผู้จะเกิด ย่อมรู้ได้ว่าเราจะเกิด. พระเจ้ามิลินท์, พระคุณเจ้านาคเสน ท่านตอบสมควรแล้ว. จบอุปปัชชติชานนปัญหาที่ ๙
คำอธิบายปัญหาที่ ๙
ปัญหาเกี่ยวกับความรู้ว่าจะเกิดแห่งสัตว์ผู้จะเกิด ชื่อว่า อุปปัชชติชานนปัญหา. คฤหบดีชาวนาฝังเมล็ดข้าวไว้ที่พื้นดิน เมื่อฝนตกดีย่อมรู้ได้ว่า ธัญญชาติจะบังเกิด ฉันใด พ่อค้า แม้ว่าเป็นคนยากจน เมื่อกองทรัพย์เพิ่มมากขึ้นด้วยเรื่อยๆ เพราะการค้าของตน ก็ย่อมรู้ว่า เราจะได้เป็นเศรษฐี ฉันใด ข้าราชบริพารที่พระราชาทรงชุบเลี้ยงไว้ด้วยค่าจ้างเพียงเล็กน้อย แม้ว่ามียศศักดิ์น้อย เมื่อได้ทำความดีพิเศษต่อพระราชามีการจับผู้ที่คิดร้ายต่อพระราชาได้เป็นต้น ก็ย่อมรู้ได้ว่าเราจะได้เป็นอำมาตย์ ฉันใด บุคคลผู้มี อวิชชา ตัณหา อุปาทาน และกรรม เมื่อได้สดับธรรมของพระตถาคต รู้ว่า อวิชชา ตัณหา อุปาทาน และกรรม เป็นเหตุนำมาซึ่งความเกิด ดังนี้แล้ว ก็ย่อมรู้ว่า เราจะเกิดอีกฉันนั้น. จบคำอธิบายปัญหาที่ ๙
ปัญหาที่ ๑๐ พุทธนิทัสสนปัญหา
พระราชารับสั่งถามว่า พระคุณเจ้านาคเสน พระพุทธเจ้ามีจริงหรือ ? พระนาคเสน, ขอถวายพระพรมหาบพิตร พระผู้มีพระภาคมีจริง. พระเจ้ามิลินท์, พระคุณเจ้านาคเสน ก็แต่ว่า ท่านอาจแสดงได้หรือไม่ ว่า พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ สถานที่นี้ หรือว่า ณ สถานที่นี้ ? พระนาคเสน, ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาค ทรงปรินิพพานแล้ว ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ใครๆ ไม่อาจแสดงได้ว่าพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ สถานที่นี้ หรือว่า ณ สถานที่นี้. พระเจ้ามิลินท์, ขอท่านจงกระทำอุปมา. พระนาคเสน, ขอถวายพระพร พระองค์จะทรงสำคัญความข้อนั้นอย่างไร เปรวไฟแห่งกองไฟใหญ่ที่ลุกโพลง ถึงความดับไปแล้ว พระองค์อาจแสดงได้หรือไม่ว่า เปลวไฟนั้นไปอยู่ ณ สถานที่นี้ หรือว่า ณ สถานที่นี้. พระเจ้ามิลินท์, ไม่อาจแสดงได้หรอก พระคุณเจ้า เปลวไฟที่ดับไปแล้วนั้น ถึงความไม่ปรากฏแล้ว. พระนาคเสน, ขอถวายพระพร อุปมาฉันใดอุปไมยก็ฉันนั้นเหมือนกัน พระผู้มีพระภาคทรงปรินิพพานแล้ว ทรงถึงความดับแล้ว ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ใครๆ จึงไม่อาจแสดงได้ว่า พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ สถานที่นี้ หรือว่า ณ สถานที่นี้ ขอถวายพระพร ก็แต่ว่า บุคคลอาจแสดงพระผู้มีพระภาค (ว่ามีอยู่จริง) ได้ด้วยพระธรรมกาย เพราะว่าพระธรรมพระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้ (ปริยัติธรรม – ณัฏฐ) พระเจ้ามิลินท์, พระคุณเจ้านาคเสน ท่านตอบสมควรแล้ว. จบพุทธนิทัสสนปัญหาที่ ๑๐
คำอธิบายปัญหาที่ ๑๐
ปัญหาที่มีการแสดงว่า พระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ ชื่อว่าพุทธนิทัสสนปัญหา. คำว่า “ขอถวายพระพร ก็แต่ว่าบุคคลอาจแสดงพระผู้มีพระภาค (ว่ามีอยู่จริง) ได้ด้วยพระธรรมกาย เพราะว่าพระธรรม พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้” ดังนี้ นี้ พระเถระกล่าวหมายเอาพระสูตรที่ว่า :-
“สิยา โข ปนานนฺท ตุมฺหากํ เอวมสฺส อตีตสตฺถุกํ ปาวจนํ, นตฺถิ โน สตฺถาติ น โข ปเนตํ อานนฺท เอวํ ทฏฺฐพฺพํ, โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต, โส โว มมจฺจเยน สตฺถา” (ที. มหา. ๑๐/๑๗๙)
“นี่แน่ะ อานนท์ พวกเธออาจจะมีความคิดอย่างนี้ว่า พระดํารัสที่เป็นประธานของพระศาสดาก็ล่วงไปแล้ว พวกเราไม่มีพระศาสดาเสียแล้ว ดังนี้ นี่แน่ะ อานนท์ พวกเธอไม่ควรคิดเห็นอย่างนี้ นี่แน่ะ อานนท์ ธรรมและวินัยที่เราได้แสดงไว้แล้ว บัญญัติไว้แล้ว ใด, ธรรมและวินัยนั้น ย่อมเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย เมื่อเราได้ล่วงลับไปแล้ว” ดังนี้
ก็ธรรมและวินัยที่ตรัสถึงนั้นนั่นแหละ ชื่อว่า พระธรรม ในคำว่า ธรรมกาย นี้ พระธรรมนี้ แตกเป็น ๓ อย่าง คือ ส่วนที่ทรงเรียกว่าวินัย ก็เรียกว่าวินัยนั่นแหละ ส่วนที่ทรงเรียกว่าธรรม แบ่งเป็น ๒ อย่าง คือ สูตรและอภิธรรม กายคือหมู่ หรือกองรวมแห่งธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้ เรียกว่า ธรรมกาย บุคคลย่อมรู้ว่า พระพุทธเจ้ามีจริง เพราะได้เห็น คือได้รู้ธรรมกายที่ทรงแสดงไว้นี้. อีกอย่างหนึ่ง พระโลกุตตรสัทธรรม ๙ อย่าง คือมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ เป็น ๑๐ พร้อมทั้งพระปริยัติ ชื่อว่า พระธรรม พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่า พระธรรมกาย เพราะทรงมีพระธรรมเป็นพระสรีระกาย ผู้ใดเห็นพระธรรมเหล่านี้ด้วยปัญญา ผู้นั้นชื่อว่าเห็นพระสรีระกายของพระองค์ย่อมทราบว่าพระองค์มีจริง สมจริงตามที่ตรัสไว้ว่า :-
“โย หิ ปสฺสติ สทฺธมฺมํ โส มํ ปสฺสติ ปณฺฑิโต” (ขุ. อป. ๓๓/๑๙๔) “ผู้ใดเห็นพระสัทธรรม (ธรรมของสัตบุรุษมี ๑๐ อย่าง มีมรรค ๔ เป็นต้นเหล่านั้น นั่นแหละ) ผู้นั้นชื่อว่าเป็นบัณฑิตย่อมเห็นเรา” ดังนี้ จบคำอธิบายปัญหาที่ ๑๐. จบพุทธวรรคที่ ๕ ในวรรคนี้ มี ๑๐ ปัญหา. จบมิลินทปัญหาตอนที่ ๑๒
ขอให้ การอ่าน การศึกษา ของทุกท่านตามกุศลเจตนา ได้เป็นพลวปัจจัย เพิ่มพูลกำลังสติ กำลังปัญญา ให้สามารถนำตนให้พ้นจากวัฏฏทุกข์ด้วยเทอญ
ณัฏฐ สุนทรสีมะ
ที่มา : http://dhamma.serichon.us
มิลินทปัญหา (ตอนที่ 50) , (ตอนที่ 49) , (ตอนที่ 48) , (ตอนที่ 47) , (ตอนที่ 46) , (ตอนที่ 45) , (ตอนที่ 44) , (ตอนที่ 43) , (ตอนที่ 42) , (ตอนที่ 41) , (ตอนที่ 40) , (ตอนที่ 39) , (ตอนที่ 38) , (ตอนที่ 37) , (ตอนที่ 36) , (ตอนที่ 35) , (ตอนที่ 34) , (ตอนที่ 33) , (ตอนที่ 32) , (ตอนที่ 31) , (ตอนที่ 30) , (ตอนที่ 29) , (ตอนที่ 28) , (ตอนที่ 27) , (ตอนที่ 26) , (ตอนที่ 25) , (ตอนที่ 24) , (ตอนที่ 23) , (ตอนที่ 22) , (ตอนที่ 21 ต่อ) , (ตอนที่ 21) , (ตอนที่ 20) , (ตอนที่ 19) , (ตอนที่ 18) , (ตอนที่ 17) , (ตอนที่ 16) , (ตอนที่ 15) , (ตอนที่ 14) , (ตอนที่ 13) , (ตอนที่ 12) , (ตอนที่ 11) , (ตอนที่ 10) , (ตอนที่ 9) , (ตอนที่ 8) , (ตอนที่ 7) , (ตอนที่ 6) , (ตอนที่ 5) , (ตอนที่ 4) , (ตอนที่ 3) , (ตอนที่ 2) , (ตอนที่ 1) , ประโยชน์การอุปมาอันได้จากการศึกษาคัมร์ในทางพุทธศาสนา มีคัมภีร์มิลินท์ปัญหาเป็นต้น , มิลินทปัญหา ปัญหาเกี่ยวกับการไม่เคลื่อนไปก็ปฏิสนธิได้ , เหตุไร ตรัสให้คฤหัสถ์โสดาบันกราบไหว้ ลุกรับภิกษุสามเณรปุถุชนเล่า? , นิปปปัญจปัญหา - ปัญหาเกี่ยวกับธรรมที่ปราศจากเหตุให้เนิ่นช้าในวัฏฏทุกข์ , ถามว่า อานิสงส์การเจริญเมตตา ห้ามอันตรายต่างๆ เหตุไรสุวรรณสามผู้เจริญเมตตาจึงถูกยิงเล่า?
0 comments: