อันว่าตนนี้อยากได้แต่สุข เกลียดชังทุกข์และภัยต่างๆ ฉันใด สัตว์ทั้งหลายอื่นๆ ก็อยากได้สุข เกลียดชังทุกข์และภัยต่างๆ ฉันนั้น ผู้ใดเห็นเช่นนี้แล้ว จิตของผู้นั้นก็ย่อมปรารถนาให้สัตว์ทั้งหลายอื่นๆ มีความสุขความเจริญ ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้แผ่เมตตาจิตไปในตนก่อน ดังพระบาลีว่า :-
สพฺพปฐมํ ปน “อหํ สุขิโต โหมิ นิทฺทุกฺโขติ วา “อเวโร, อพฺยาปชฺโฌ, อนีโฆ, สุขี อตฺตานํ ปริหรามีติ วา เอวํ ปุนปฺปุนํ อตฺตนิเยว ภาเวตพฺพา.
แปลว่า ก่อนอื่นทั้งหมด บุคคลผู้จะเจริญเมตตา ควรเจริญในตนเองบ่อยๆ อย่างนี้ว่า “ขอเราจงเป็นผู้ถึงซึ่งความสุข ไม่มีทุกข์เถิด” หรือว่า “ขอเราจงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ไม่มีความทุกข์ มีความสุขบริหารตนไปเถิด” ดังนี้
“อหํ สุขิโต โหมีติ ภาวยโต ปน “ยถา อหํ สุขกาโม ทุกฺขปฏิกูโล ชีวิตุกาโม อมริตุกาโม จ เอวํ อญฺเญปิ สตฺตาติ อตฺตานํ สกฺขึ กตฺวา อญฺญสตฺเตสุ หิตสุขกามตา อุปฺปชฺชติ.
แปลว่า เพราะว่า เมื่อบุคคลเจริญเมตตา (ไปในตน) ว่า “ขอเราจงเป็นผู้ถึงซึ่งความสุข” ดังนี้เป็นต้นแล้ว ความเป็นผู้ปรารถนาประโยชน์สุขในสัตว์อื่นๆ ก็ย่อมเกิดขึ้น เพราะทำตนให้เป็นพยานว่า “เราเป็นผู้รักสุข เกลียดทุกข์ และอยากเป็นอยู่ ไม่อยากตายฉันใด แม้สัตว์ทั้งหลายอื่นๆ ก็ฉันนั้น” ดังนี้แล.
เพราะฉะนั้น ผู้รักตนจึงไม่ควรเบียดเบียนผู้อื่น.
สาระธรรมจากพระคัมภีร์วิสุทธิมรรค (พรหมวิหารนิเทศ)
พระมหาวัชระ เชยรัมย์
0 comments: