ความเป็นผู้ฉลาด จะรู้ได้อย่างไร ?
บุคคลใดเป็นคนฉลาดหรือไม่ฉลาดให้กำหนดรู้ด้วยอุบายดังต่อไปนี้ บุคคลนั้นต้องรู้อุบายอันเป็นเหตุแห่งความเจริญและไม่เจริญ. ความเจริญ ชื่อว่าอายะ ความไม่เจริญ ชื่อว่าอปายะ. ส่วนเหตุแห่งความเจริญและไม่เจริญนั้นๆ จัดเป็นอุบาย ความรู้ทั่วถึงความเจริญความไม่เจริญและเหตุแห่งความเจริญและไม่เจริญเหล่านั้น จัดเป็นความฉลาด สมดังพระพุทธดำรัสที่ตรัสไว้ในวิภังค์ว่า
“ ในความฉลาดเหล่านั้น ความฉลาดในความเจริญเป็นไฉน ?
ปัญญา คือความรู้ทั่ว ฯลฯ ความเห็นชอบในความเจริญนั้นอันใดว่า “เมื่อเรามนสิการถึงธรรมเหล่านี้ อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดย่อมไม่เกิดขึ้น และอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไป ก็หรือว่า เมื่อเรามนสิการถึงธรรมเหล่านี้ กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น และกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความภิญโญภาพ เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความบริบูรณ์ นี้เรียกว่า “ความเป็นผู้ฉลาดในความเจริญ”
ในความฉลาดเหล่านั้น ความฉลาดในความไม่เจริญเป็นไฉน ?
ปัญญา คือความรอบรู้ ฯลฯ ความเห็นชอบในความไม่เจริญนั้นอันใดว่า “เมื่อเรามนสิการถึงธรรมเหล่านี้ กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดย่อมไม่เกิด และกุศลที่เกิดแล้ว ย่อมดับไป ก็หรือว่า เมื่อเรามนสิการถึงธรรมเหล่านี้ อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น และอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความภิญโญภาพ เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความบริบูรณ์ นี้เรียกว่า “ความเป็นผู้ฉลาดในความไม่เจริญ”
ปัญญาอันเป็นอุบายในความเจริญและความไม่เจริญนั้น แม้ทั้งหมดเป็นความฉลาดในอุบาย ดังนี้ ”
ก็ความฉลาดในอุบายนี้ พึงทราบด้วยอำนาจการรู้เหตุแห่งฐานะที่เกิดขึ้น เพื่อแก้ไขกิจรีบด่วนหรือภัยนั้น ในตอนที่กิจรีบด่วนหรือภัยเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น บุคคลผู้ฉลาดต้องเป็นผู้รู้อุบายที่เป็นเหตุแห่งความเจริญและไม่เจริญ และเมื่อมีกิจรีบด่วนหรือภัยเกิดขึ้นก็เป็นผู้รู้เหตุแห่งฐานะที่เกิดขึ้นเพื่อแก้ไขกิจรีบด่วนหรือภัยนั้นได้
สาระธรรมจากสังคีติสูตรและอรรถกถา (โกสัลละ ๓ อย่าง)
พระมหาวัชระ เชยรัมย์
7/3/64
0 comments: