นิปปปัญจปัญหา -ปัญหาเกี่ยวกับธรรมที่ปราศจากเหตุให้เนิ่นช้าในวัฏฏทุกข์
ถามว่า ธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้าในวัฏฏทุกข์ ก็คือปปัญจธรรม 3 ได้แก่ ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ย่อมมีการดิ้นรน ไข่วคว้าให้วัฏฏทุกข์ยืดยาว แต่ทำไม ธรรมที่มีสภาพตรงกันข้าม คือ นิปปปัญจธรรม คือ ธรรมที่ปราศจากเหตุเนิ่นช้าในวัฏฏทุกข์ ได้แก่ บารมีธรรม 10 เช่น ทานบารมีก็เป็นปฏิปักษ์ต่อความตระหนี่ ศีลบารมีก็เป็นปฏิปักษ์ต่อความทุศีล ฯลฯ สติปัฏฐาน 4 ก็เป็นปฏิปักษ์ต่อวิปัลลาส 4 และตัณหากับทิฏฐิ วิปัสสนาญาณ ก็เป็นปฏิปักษ์ต่อความยึดติดวัฏฏทุกข์ แม้ อริยมรรค 4 อันเป็นทางหลุดพ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อริยผล 4 อันเป็นสถานภาพความเป็นพระอริยบุคคลแล้ว ไฉนถึงยังมีกิจขวนขวาย มีการเรียนพระปริยัติ เป็นต้นอีกเล่า?
นิปปปัญจปัญหา - ปัญหาเกี่ยวกับธรรมที่ปราศจากเหตุให้เนิ่นช้าในวัฏฏทุกข์
พระเจ้ามิลินท์ "พระคุณเจ้านาคเสน พระผู้มีพระภาคทรงภาษิตความข้อนี้ไว้ว่า ‘ นิปฺปปญฺจาราโม ภิกฺขเว วิหรถ นิปฺปปญฺจรติโน - ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงมีนิปปปัญจธรรมไว้ยินดี มีความยินดีอยู่ในนิปปปัญจธรรมเถิด ‘ ดังนี้ นิปปปัญจธรรมเป็นไฉน? โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้แก่ ธรรมประเภทไหนเล่า?”
พระนาคเสน "ขอถวายพระพร เป็นธรรมที่ปราศจากเหตุให้เนิ่นช้าในวัฏฏทุกข์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้แก่ อริยผล 4 อันเป็นธรรมที่เป็นสถานภาพความเป็นพระอริยบุคคล 4 ประเภท มี โสดาปัตติผลบุคคล 1.สกทาคามิผลบุคคล 1.อนาคามิผลบุคคล 1.อรหัตผลบุคคล 1."
พระเจ้ามิลินท์ "พระคุณเจ้านาคเสน ถ้าหากว่า อริยผล 4 นับเป็นนิปปปัญจธรรมอันยิ่งยวดแล้วไซร้ ถ้าอย่างนั้นภิกษุเหล่าใดยังยกนวังคสัตถุศาสน์(คำสอนของพระศาสดามีองค์ 9 มี สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาย อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ)ขึ้นแสดงขึ้นไต่ถามอยู่ ยังยุ่งเกี่ยวกับงานก่อสร้างอยู่ ยังยุ่งเกี่ยวกับทานและการบูชาอยู๋ ภิกษุเหล่านั้นจักไม่ถือว่า ประพฤติปฏิบัติตนขัดแย้งกับพระพุทธดำรัจหรือหนอ.?"
พระนาคเสน "ขอถวายพระพร ภิกษุเหล่าใด ยังจำเป็นต้องยกนวังคสัตถุศาสน์ขึ้นแสดงขึ้นไต่ถามอยู่ ยังจำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกับการก่อสร้างอยู่ ยังจำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกับทานและการบูชาอยู่ ภิกษุเหล่านั้นล้วนชื่อว่า กระทำเพื่อการบรรลุนิปปปัญจธรรมในส่วนที่เป็นอริยพล 4 ทั้งสิ้น ขอถวายพระพร ส่วนภิกษุเหล่าใด เป็นผู้บริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว ด้วยกิจนวังคสัตถุศาสน์ กิจทาน กิจการบูชา เป็นต้น และมีบารมีเต็มเปี่ยมาแล้ว ย่อมบรรลุนิปปปัญจธรรม อันเป็นส่วนอริยผล 4 โดยต่อจากอริยมรรค 4 เพียงขณะจิตเดียว(ไม่มีระหว่างคั่น) ส่วนภิกษุเหล่าใด ยังเป็นผู้ที่ตาปัญญามีธุลีมาก อยู่ ภิกษุเหล่านั้น จะบรรลุความเป็นผู้มีนิปปปัญจธรรมอันเป็นส่วนอริยผล 4 ด้วยประโยคะ คือ ความพยายามขวนขวาย กิจนวังคสัตถุศาสน์ กิจทาน กิจการบูชา เป็นต้นนั้นเอง.
ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนว่า บุรุษคนหนึ่ง หว่านพืชไว้ในที่นาดีแล้ว ก็พึงใช้ความพยายามตามสมควรแก่กำลังของตน เก็บเกี่ยวธัญญชาติ(ข้าว)ได้ โดยเว้นการล้อมรั้ว, ส่วนบุรุษอีกคนหนึ่ง ทั้งๆที่หว่านพืชในนาดีแล้วเหมือนกัน ก็ยังจำเป็นต้องเข้าป่าตัดท่อนไม้และกิ่งไม้มาทำรั้วล้อม จึงจะมีโอกาสก็บเกี่ยวธัญญชาติได้ อุปมาเป็นฉันใด อุปมัยก็เป็นฉันนั้นนั่นแหละ
ขอถวายพระพร หมายความว่า ภิกษุเหล่าใด เป็นผู้บริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วยกิจนวังคสัตถุศาสน์ กิจทาน กิจการบูชา เป็นต้น และเต็มเปี่ยมด้วยบารมีที่ได้อบรมไว้แล้วในภพก่อน, ภิกษุเหล่านั้นย่อมบรรลุนิปปปัญจธรรมอันเป็นส่วนอริยผล 4 ได้ โดยขณะจิตเดียว คือต่อจากอริยมรรค 4 ทันทีไม่มีระหว่างคั่น จึงเปรียบได้กับบุรุษผู้เก็บเกี่ยวธัญญชาติได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีรั้วกั้นนั่นเอง ส่วน ภิกษุเหล่าใด เป็นผู้ที่ตาปัญญายังมีธุลีอยู่มาก ภิกษุเหล่านั้นย่อมบรรลุนิปปปัญจธรรมอันเป็นส่วนอริยผล 4ได้ ก็โดยยังจำเป็นต้องอาศัยประโยคะ คือ ความเพียรพยายามขวนขวาย กิจนวังคสัตถุศาสน์ กิจทาน กิจการบูชาเป็นต้น จึงเปรียบได้กับบุรุษที่จำเป็นต้องทำรั้วล้อมไว้ก่อน ถึงจะมีโอกาสเก็บเกี่ยวธัญญชาติได้นั่นเอง
ขอถวายพระพร อีกอุปมาหนึ่ง เปรียบเหมือน ช่่อผลมะม่วงที่มีอยู่บนต้นมะม่วงใหญ่ บุรุษผู้มีฤทธิ์ย่อมเหาะเก็บเอาช่อมะม่วงไปได้สะดวก ส่วนบุรุษผู้ไม่มีฤทธิ์ ย่อมไม่สะดวกจำเป็นต้องตัดไม้และเถาวัลย์ผูกเป็นะะองก่อน จึงจะไต่ไปเก็บเอาช่อมะม่วงได้ อุปมาเป็นฉันใด อุปมัยก็เป็นฉันนั้นเหมือนกัน
ขอถวายพระพร อีกอุปมาหนึ่ง เปรียบเหมือน พ่อค้าที่ฉลาดรอบรู้มีทักษะประสพการณ์มาดีแล้ว ย่อมแสวงหากำไรได้โดยลำพังตนเอง ส่วนพ่อค้าผู้ไม่รอบรู้ แต่มีทุนทรัพย์ ก็ย่อมแสวงหากำไรได้ โดยจ้างกลุมชนที่รอบรู้ช่วย อุปมาเป็นฉันใด อุปมัยก็เป็นฉันนั้นเหมือนกัน
ขอถวายพระพร อนึ่ง นิปปปัญจธรรม ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหน ก็ล้วนสำคัญด้วยกันทุกส่วน เหตุเพราะทุกส่วนเนื่องกันอยู๋ ไม่ได้ตัดขาดออกจากกันเสียที่เดียว ขึ้นอยู่กับสถานภาพของบุคคลที่ฝึกมามากน้อยต่างกัน ตัวอย่างท่านพระสารีบุตรเถระ มีกิจฟังพระคาถาสั้นน้อยนิดจากพระอัสสชิเพียงพระคาถาเดียวก็บรรลุโสดาบันทันที ดังนั้นแล ชาวพุทธบริษัททั้งหลาย พึงมีนิปปปัญจธรรมไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนๆก็ตามไว้ยินดีเถิด สมดังพระดำรัจที่พระเจ้ามิลินท์ ได้นำมาตั้งเป็นปัญหาถามพระนาคเสนเถระ เพื่อประเทืองปัญญาให้แก่พวกเรานั่นแล
ที่มา : http://dhamma.serichon.us
มิลินทปัญหา (ตอนที่ 50) , (ตอนที่ 49) , (ตอนที่ 48) , (ตอนที่ 47) , (ตอนที่ 46) , (ตอนที่ 45) , (ตอนที่ 44) , (ตอนที่ 43) , (ตอนที่ 42) , (ตอนที่ 41) , (ตอนที่ 40) , (ตอนที่ 39) , (ตอนที่ 38) , (ตอนที่ 37) , (ตอนที่ 36) , (ตอนที่ 35) , (ตอนที่ 34) , (ตอนที่ 33) , (ตอนที่ 32) , (ตอนที่ 31) , (ตอนที่ 30) , (ตอนที่ 29) , (ตอนที่ 28) , (ตอนที่ 27) , (ตอนที่ 26) , (ตอนที่ 25) , (ตอนที่ 24) , (ตอนที่ 23) , (ตอนที่ 22) , (ตอนที่ 21 ต่อ) , (ตอนที่ 21) , (ตอนที่ 20) , (ตอนที่ 19) , (ตอนที่ 18) , (ตอนที่ 17) , (ตอนที่ 16) , (ตอนที่ 15) , (ตอนที่ 14) , (ตอนที่ 13) , (ตอนที่ 12) , (ตอนที่ 11) , (ตอนที่ 10) , (ตอนที่ 9) , (ตอนที่ 8) , (ตอนที่ 7) , (ตอนที่ 6) , (ตอนที่ 5) , (ตอนที่ 4) , (ตอนที่ 3) , (ตอนที่ 2) , (ตอนที่ 1) , ประโยชน์การอุปมาอันได้จากการศึกษาคัมร์ในทางพุทธศาสนา มีคัมภีร์มิลินท์ปัญหาเป็นต้น , มิลินทปัญหา ปัญหาเกี่ยวกับการไม่เคลื่อนไปก็ปฏิสนธิได้ , เหตุไร ตรัสให้คฤหัสถ์โสดาบันกราบไหว้ ลุกรับภิกษุสามเณรปุถุชนเล่า? , นิปปปัญจปัญหา - ปัญหาเกี่ยวกับธรรมที่ปราศจากเหตุให้เนิ่นช้าในวัฏฏทุกข์ , ถามว่า อานิสงส์การเจริญเมตตา ห้ามอันตรายต่างๆ เหตุไรสุวรรณสามผู้เจริญเมตตาจึงถูกยิงเล่า?
0 comments: