นิคฺโรธมิคชาตกํ - ว่าด้วยการเลือกคบ
"นิคฺโรธเมว เสเวยฺย, น สาขมุปสํวเส;
นิคฺโรธสฺมึ มตํ เสยฺโย, ยญฺเจ สาขสฺมิ [1] ชีวิตนฺติ ฯ
ท่านหรือคนอื่นก็ตาม พึงคบหาแต่พระยาเนื้อชื่อว่านิโครธเท่านั้น, ไม่ควรเข้าไปอาศัยอยู่กับพระยาเนื้อชื่อว่าสาขะ, ความตายในสำนักพระยาเนื้อนิโครธประเสริฐกว่า, การมีชีวิตอยู่ในสำนักพระยาเนื้อสาขะจะประเสริฐอะไร."
[สาขสฺมึ (สี. ปี.)]
นิโครธมิคชาดกอรรถกถา
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเชตวันทรงปรารภภิกษุณีผู้เป็นมารดาของพระกุมารกัสสปเถระ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า นิโคฺรธเมว เสวยฺย ดังนี้.
ได้ยินว่า ภิกษุณีนั้นได้เป็นธิดาของเศรษฐีผู้มีทรัพย์มากในนครราชคฤห์ มีกุศลมูลหนาแน่น มีสังขารอันย่ำยีแล้ว เป็นปัจฉิมภวิกสัตว์(สัตว์ผู้มีภพสุดท้าย) อุปนิสัยแห่งพระอรหัตโพลงอยู่ในหทัยของนาง เหมือนประทีปโพลงอยู่ภายในหม้อ ฉะนั้น.
ครั้งนั้น จำเดิมแต่กาลที่รู้จักตนแล้วธิดาของเศรษฐีนั้น ไม่ยินดีในเรือน มีความประสงค์จะบวช จึงกล่าวกะบิดามารดาว่า „ข้าแต่คุณพ่อและคุณแม่ จิตใจของข้าพเจ้าไม่ยินดีในฆราวาสข้าพเจ้ามีความประสงค์จะบวชในพระพุทธศาสนาอันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ท่านทั้งหลายจงให้ข้าพเจ้าบวชเถิด“.
บิดามารดากล่าวว่า „แม่ เจ้าพูดอะไร ตระกูลนี้มีทรัพย์สมบัติมากและเจ้าก็เป็นธิดาคนเดียวของเราทั้งหลาย เจ้าไม่ควรจะบวช“. นางแม้จะอ้อนวอนอยู่บ่อย ๆ ก็ไม่ได้การบรรพชาจากสำนักของบิดามารดา จึงคิดว่า „ช่างเถอะ เราไปตระกูลสามียังสามีให้โปรดปรานแล้วจักบวช". นางเจริญวัยแล้วไปยังตระกูลสามีเป็นผู้มีศีลมีกัลยาณธรรมครองเหย้าเรือน.
ลำดับนั้น เพราะอาศัยการอยู่ร่วม นางก็ตั้งครรภ์. นางไม่รู้ว่า ตั้งครรภ์. ครั้งนั้น เขาโฆษณางานนักขัตฤกษ์ในพระนคร ชาวพระนครทั้งสิ้นพากันเล่นงานนักขัตฤกษ์. พระนครได้มีการประดับตกแต่งเหมือนดังเทพนครก็เมื่อการเล่นนักขัตฤกษ์แม้จะใหญ่ยิ่งเพียงนั้น เป็นไปอยู่ นางก็ไม่ลูบไล้ร่างกายของตน ไม่ประดับประดา เที่ยวไปด้วยเพศตามปกตินั่นเอง.
ลำดับนั้น สามีกล่าวกะนางว่า „นางผู้เจริญ นครทั้งสิ้นอาศัยนักขัตฤกษ์ แต่เธอไม่ปฏิบัติร่างกาย ไม่ทำการตกแต่ง เพราะเหตุไร?“. นางจึงกล่าวว่า „ข้าแต่ลุกเจ้าร่างกายเต็มด้วยซากศพ ๓๒ ประการทีเดียว ประโยชน์อะไรด้วยร่างกายนี้ที่ประดับแล้ว เพราะกายนี้ เทวดา พรหมไม่ได้นิรมิต ไม่ใช่สำเร็จด้วยทองด้วยแก้วมณี ด้วยจันทน์เหลือง
ไม่ใช่เกิดจากห้องแห่งดอกบุณฑริก ดอกโกมุทและดอกอุบลเขียว แต่เต็มไปด้วยคูถ ไม่สะอาด ไม่ใช่เต็มด้วยอมฤต โอสถ โดยที่แท้ เกิดในซากศพ มีมารดาบิดาเป็นแดนเกิด. มีการขัดสีและการนวดฟั้นเป็นนิตย์และมีการแตกทำลายและการกระจัดกระจายไปเป็นธรรมดา รกป่าช้า อันตัณหายึดจับ เป็นเหตุแห่งความโศก เป็นวัตถุที่ตั้งแห่งความร่ำไร เป็นที่อยู่อาศัยแห่งโรคทั้งปวง เป็นที่รับเครื่องกรรมกรของเสียภายในไหลออกภายนอกเป็นนิตย์ เป็นที่อยู่ของหมู่หนอนหลายตระกูลจะไปยังป่าช้า มีความตายเป็นที่สุด แม้จะเปลี่ยนแปลงไปในคลองจักษุของชาวโลกทั้งปวง
(ก) กายประกอบด้วยกระดูกและเอ็น ฉาบทาด้วยหนังและเนื้อ เป็นกายที่ถูกผัวหนึ่งปกปิดไว้ ไม่ ปรากฏตามความเป็นจริง. (ข) เต็มด้วยลำไส้ใหญ่ เต็มด้วยท้องด้วยตับ หัวไส้ เนื้อหัวใจ ปอด ไต ม้าม. (ค) น้ำมูก นำลาย เหงื่อ มันข้นเลือด ไขข้อ ดีและมันเหลว. (ฆ) เมื่อเป็นเช่นนั้น ของไม่สะอาดย่อมไหลออกจากช่อง ทั้ง ๙ ของกายนั้นทุกเมื่อ คือ ขี้ตาไหลออกจากตา ขี้หูไหลออกจากหู. (ง) และน้ำมูกไหลออกจากจมูก บางคราวออกทางปาก ดีและเสมหะย่อมไหลออกจากกาย เป็นหยดเหงื่อ.
(จ) เมื่อเป็นอย่างนั้นศีรษะของกายนั้นเป็นโพรงเต็มด้วยมันสมอง คนพาลถูกอวิชชาห่อหุ้ม จึงสำคัญโดยความเป็นของงดงาม. (สุ.นิ. ๑๙๖-๒๐๑) (ฉ) กายมีโทษอนันต์ เปรียบเสมอด้วยต้นไม้พิษเป็นที่อยู่ของสรรพโรคล้วน เป็นของทุกข์. (อป. เถร ๒.๕๔.๕๕) (ช) ถ้ากลับเอาภายในของกายนี้ออกข้างนอก ก็จะต้องถือท่อนไม้คอยไล่กาและสุนัขเป็นแน่. (ฌ) กายไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น เป็นดังซากศพ เปรียบเหมือนส้วม ผู้มีจักษุติเตียน แต่คนเขลาเพลิดเพลิน. (ญ) อันหนังสดปกปิดไว้ไม้ทวาร ๙ แผลใหญ่ ของไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น ไหลออกรอบด้าน. (วิสุทธิ. ๑.๑๒๒)
ข้าแต่ลูกเจ้า ! ข้าพเจ้าจักประดับประดาร่างกายนี้ทำอะไร? การกระทำความประดับกายนี้ ย่อมเป็นเหมือนกระทำจิตรกรรมภายนอกหม้อ ซึ่งเต็มด้วยคูถ“. เศรษฐีบุตรได้ฟังคำของนางดังนั้นจึงกล่าวว่า „นางผู้เจริญ เธอเห็นโทษทั้งหลายอย่างนี้แห่งร่างกายนี้ เพราะเหตุไรจึงไม่บวช?“.
นางกล่าวว่า „ข้าแต่พระลูกเจ้าข้าพเจ้าเมื่อได้บวช จะบวชวันนี้แหละ". เศรษฐีบุตรกล่าวว่า "ดีแล้ว ฉันจักให้เธอบวช“. แล้วบำเพ็ญมหาทาน กระทำมหาสักการะแล้วนำไปสำนักของภิกษุณีด้วยบริวารใหญ่ เมื่อจะให้นางบวชได้ให้บวชในสำนักของภิกษุณีผู้เป็นผูกฝ่ายของพระเทวทัต. นางได้บรรพชาแล้วมีความดำริเต็มบริบูรณ์ ดีใจแล้ว.
ครั้งนั้น เมื่อครรภ์ของนางแก่แล้ว ภิกษุณีทั้งหลายเห็นความที่อินทรีย์ทั้งหลายแปรเป็นอื่นไป ความที่หลังมือและเท้าบวมและความที่พื้นต้องใหญ่จึงถามนางว่า „แม่เจ้า เธอปรากฏเหมือนมีครรภ์ ที่อะไรกัน ?“ ภิกษุณีนั้นกล่าวว่า „แม่เจ้าทั้งหลายข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่า เหตุชื่อนี้ แต่ศีลของข้าพเจ้ายังบริบูรณ์อยู่“.
ลำดับนั้น ภิกษุณีเหล่านั้นจึงนำนางภิกษุณีนั้นไปยังสำนักของพระเทวทัต ถามพระเทวทัตว่า „ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า กุลธิดานี้ยังสามีให้โปรดปรานได้โดยยาก จึงได้บรรพชา, ก็บัดนี้ ครรภ์ของนางปรากฏ, ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่รู้ว่า กุลธิดานี้ได้ตั้งครรภ์ในเวลาเป็นคฤหัสถ์ หรือในเวลาบวชแล้ว, บัดนี้ข้าพเจ้าทั้งหลายจะกระทำอย่างไร?“.
เพราะความที่คนไม่รู้และเพราะขันติ เมตตาและความเอ็นดูไม่มีพระเทวทัตจึงคิดอย่างนี้ว่า ความครหานินทาจักเกิดแก่เราว่า „ภิกษุณีผู้อยู่ในฝ่ายของพระเทวทัตมีครรภ์ แต่พระเทวทัตกลับเพิกเฉยเสีย เราให้ภิกษุณีนี้สึกจึงจะควร“.
พระเทวทัตนั้นไม่พิจารณาแล่นออกไปเหมือนกลิ้งก้อนหินกล่าวว่า „พวกท่านจงให้ภิกษุณีนั้นสึก“. ภิกษุณีเหล่านั้นฟังคำของพระเทวทัตแล้ว ลุกขึ้นไหว้แล้วไปยังสำนัก.
ลำดับนั้น ภิกษุณีสาวนั้นกล่าวกะภิกษุณีทั้งหลายว่า „แม่เจ้าทั้งหลาย พระเทวทัตเถระไม่ใช่พระพุทธเจ้า การบรรพชาของเราในสำนักของพระเทวทัตนั้น ก็หามิได้, ก็บรรพชาของเราในสำนักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นบุคคลเลิศขึ้นโลก, อนึ่ง บรรพชานั้น เราได้โดยยาก, ท่านทั้งหลายอย่าทำให้การบรรพชานั้นอันตรธานหายไปเสียเลย, มาเถิดท่านทั้งหลาย จงพาเราไปยังพระเชตวัน ในสำนักของพระศาสดา“.
ภิกษุณีทั้งหลายจึงพาภิกษุณีสาวนั้นไปจากกรุงราชคฤห์สิ้นหนทาง ๔๕ โยชน์ถึงพระเชตวันมหาวิหารโดยลำดับถวายบังคมพระศาสดาแล้วกราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ.
พระศาสดาทรงพระดำริว่า „ภิกษุณีนี้ตั้งครรภ์ในเวลาเป็นคฤหัสถ์โดยแท้ แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น, พวกเดียรถีย์จักได้โอกาสว่า „พระสมณโคดมพาภิกษุณีที่พระเทวทัตทิ้งแล้วเที่ยวไปอยู่, เพราะฉะนั้น เพื่อจะตัดถ้อยคำนี้ควรจะวินิจฉัยอธิกรณ์นี้ในท่ามกลางบริษัทซึ่งมีพระราชา“.
ในวันรุ่งขึ้น จึงให้ทูลเชิญพระเจ้าโกศลและเชิญมหาอนาถบิณฑิกเศรษฐี จูฬอนาถบิณฑิกเศรษฐีนางวิสาขามหาอุบาสิกาและตระกูลใหญ่ ๆ อื่น ๆ ที่มีชื่อเสียง, ในเวลาเย็นเมื่อบริษัททั้ง ๔ ประชุมกันแล้วจึงตรัสเรียกพระอุบาลีเถระมาว่า „เธอจงไปชำระกรรมของภิกษุณีสาวนี้ ในท่ามกลางบริษัท ๔“.
พระเถระทูลรับพระดำรัสแล้วจึงไปยังท่ามกลางบริษัท นั่งบนอาสนะที่เขาตกแต่งไว้เพื่อตนแล้วให้เรียกนางวิสาขาอุบาสิกามาตรงเบื้องพระพักตร์ของพระราชา ให้รับอธิกรณ์นี้ว่า „ดูก่อนวิสาขา ! ท่านจงไป จงรู้โดยถ่องแท้ว่า ภิกษุณีสาวนี้บวชในเดือน โน้น วันโน้นแล้วจงรู้ว่า เธอได้มีครรภ์นี้ก่อนหรือหลังบวช“.
มหาอุบาสิการับคำแล้วจึงให้วงม่าน ตรวจดูที่สุดมือ เท้า สะดือและต้องของภิกษุณีสาวภายในม่าน นับเดือนและวัน รู้ว่า นางได้ตั้งครรภ์ในภาวะเป็นคฤหัสถ์โดยถ่องแท้ จึงไปยังสำนักของพระเถระแล้วบอกเนื้อความนั้น.
พระเถระได้กระทำภิกษุณีนั้นให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ในท่ามกลางบริษัท ๔. ภิกษุณีนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วไหว้ภิกษุสงฆ์และถวายบังคมพระศาสดาแล้วไปยังสำนักนั่นแล พร้อมกับภิกษุณีทั้งหลาย. ภิกษุณีนั้น อาศัยครรภ์แก่แล้วได้ตลอดบุตรมีอานุภาพมาก ผู้ตั้งความปรารถนาไว้แทบบาทมูลของพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ.
ครั้นวันหนึ่ง พระราชาเสด็จไปโดยใกล้ ๆ สำนักของภิกษุณีได้ทรงสดับเสียงทารก จึงตรัสถามอำมาตย์ทั้งหลาย. อำมาตย์ทั้งหลายรู้เหตุนั้น จึงกราบทูลว่า „ข้าแต่สมมติเทพ ภิกษุณีสาวนั้น ตลอดบุตรแล้ว นั่นเสียงของบุตรภิกษุณีสาวนั้นนั่นเอง“. พระราชาตรัสว่า „แน่ะพนาย ชื่อว่าการปรนนิบัติทารกเป็นเครื่องกังวลสำหรับภิกษุณีทั้งหลาย พวกเราจักปรนนิบัติทารกนั้น พระราชาทรงไห้มอบทารกนั้นแก่หญิงฟ้อนทั้งหลาย ให้เติบโตโดยการบริหารดูแลอย่างกุมาร.
ก็ในวันตั้งชื่อกุมารนั้นได้ตั้งชื่อว่ากัสสป ครั้งนั้น คนทั้งหลายรู้กันว่า กุมารกัสสป เพราะเจริญเติบโต ด้วยการบริหารอย่างกุมารในเวลามีอายุได้ ๗ ขวบ กุมารกัสสปนั้นบวชในสำนักของพระศาสดาพอมีอายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ก็ได้อุปสมบท เมื่อกาลเวลาล่วงไปได้เป็นผู้กล่าวธรรมอันวิจิตร ในบรรดาพระธรรมกถึกทั้งหลาย.
ลำดับนั้น พระศาสดาทรงตั้ง พระกุมารกัสสนั้นไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ ด้วยพระดำรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุมารกัสสปนี้ เป็นเลิศแห่งสาวกทั้งหลายของเรา ผู้กล่าวธรรมอันวิจิตร" (อ.นิ.๑.๒๐๙, ๒๑๗). ภายหลังพระกุมารกัสสปนั้นบรรลุพระอรหัต ในเพราะวัมมิกสูตร (ม.นิ. ๑.๒๔๙). แม้ภิกษุณีผู้เป็นมารดาของพระกุมารกัสสปนั้น เห็นแจ้งแล้วบรรลุพระอรหัต. พระกุมารกัสสปเถระปรากฏในพระพุทธศาสนา ประดุจพระจันทร์เพ็ญในท่ามกลางท้องฟ้าฉะนั้น.
อยู่มาวันหนึ่ง พระตถาคตเสด็จกลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัตประทานโอวาทแก่ภิกษุทั้งหลายแล้วเสด็จเข้าพระคันธกุฎี ภิกษุทั้งหลายรับพระโอวาทแล้ว ให้ภาคกลางวันหมดไปในที่เป็นที่พักกลางคืนและที่พักกลางวันของตน ๆ ในเวลาเย็น ประชุมกันในโรงธรรมสภา นั่งพรรณนาพระพุทธคุณว่า „ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย พระเทวทัตทำคนทั้งสอง คือ พระกุมารกัสสปเถระและพระเถรีให้พินาศ เพราะความที่ตนไม่รู้และเพราะความไม่มีขันติและเมตตาเป็นต้น แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นปัจจัยแก่ท่านทั้งสองนั้น เพราะพระองค์เป็นพระธรรมราชาและเพราะทรงถึงพร้อมด้วยพระขันติพระเมตตาและความเอ็นดู“.
พระศาสดาเสด็จมายังโรงธรรมสภาด้วยพุทธลีลาประทับนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้แล้วตรัสถามว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลายบัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ ?“ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า „ด้วยเรื่องพระคุณของพระองค์เท่านั้น“ แล้วกราบทูลเรื่องทั้งปวงให้ทรงทราบพระศาสดาตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นปัจจัยและเป็นที่พึ่งแก่ชนทั้งสองนี้ ในบัดนี้เท่านั้น หามิได้, แม้ในกาลก่อนก็ได้เป็นแล้วเหมือนกัน“. ภิกษุทั้งหลายจึงทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อต้องการให้เรื่องนั้นแจ่มแจ้ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระทำเหตุอันระหว่างภพปกปิดไว้ให้ปรากฏดังต่อไปนี้. :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี, ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิตนกำเนิดมฤคชาติ.
พระโพธิสัตว์เมื่อออกจากท้องของมารดาได้มีสีเหมือนดังสีทอง นัยน์ตาทั้งสองของเนื้อนั้นได้เป็นเช่นกับลูกแก้วมณีกลม เขาทั้งคู่มีวรรณะดังเงิน หน้ามีวรรณะดังกองผ้ากัมพลแดง ปลายเท้าหน้าและเท้าหลัง เหมือนทำบริกรรมด้วยรสน้ำครั้ง ขนหางได้เป็นเหมือนขนจามรี ก็ร่างกายของเนื้อนั้นใหญ่มีขนาดเท่าลูกน้ำ เนื้อนั้นมีบริวาร ๕๐๐. โดยชื่อ มีชื่อว่านิโครธมิคราช สำเร็จการอยู่ในป่า.
ก็ในที่ไม่ไกลแห่งพระยาเนื้อนิโครธนั้น มีเนื้อแม้อื่นซึ่งมีเนื้อ ๕๐๐ เป็นบริวาร มีช่อว่า สาขะ อาศัยอยู่ แม้เนื้อสาขะก็มีวรรณะดุจสีทอง. สมัยนั้น พระเจ้าพาราณสีทรงขวนขวายในการฆ่าเนื้อ เว้นเนื้อไม่เสวยทรงกระทำพวกมนุษย์ให้ขาดการงาน ยังชาวนิคมและชนบททั้งปวงให้ประชุมกันแล้วเสด็จไปฆ่าเนื้อทุกวัน.
พวกมนุษย์คิดกันว่า พระราชานี้ทรงทำพวกเราให้ขาดการงาน, ถ้ากระไร พวกเราวางเหยื่อของเนื้อไว้ในพระราชอุทยาน จัดน้ำดื่มไว้ให้พร้อม ต้อนเนื้อเป็นอันมากให้เข้าไปยังพระราชอุทยานแล้วปิดประตูมอบถวายพระราชา มนุษย์เหล่านั้นทั้งหมดจึงปลูกผักที่เป็นเหยื่อของเนื้อไว้ในพระราชอุทยาน จัดน้ำดื่มไว้ให้พร้อมแล้วประกอบประตู ถือบ่วง มือถืออาวุธนานาชนิดมีค้อนเป็นต้น เข้าป่าแสวงหาเนื้อ คิดว่า พวกเราจักจับเนื้อทั้งหลายที่อยู่ตรงกลาง จึงล้อมที่ประมาณ ๑ โยชน์ เมื่อร่นเข้ามาได้ล้อมที่เป็นที่อยู่ของเนื้อนิโครธและเนื้อสาขะไว้ตรงกลาง ครั้นเห็นหมู่เนื้อนั้นจึงเอาไม้ค้อนดีต้นไม้ พุ่มไม้เป็นต้นและดีพื้นดิน ไล่หมู่เนื้อออกจากที่รกชัฎ พากันเงื้ออาวุธทั้งหลายมีดาบ หอกและธนูเป็นต้น บันลือเสียงดัง ต้อนหมู่เนื้อนั้นให้เข้าพระราชอุทยานแล้วปิดประตู พากันเข้าไปเฝ้าพระราชาแล้วกราบทูลว่า „ข้าแต่สมมติเทพ เมื่อพระองค์เสด็จไปทรงฆ่าเนื้อเป็นประจำ, ทรงทำการงานของข้าพระองค์ทั้งหลายให้เสียหาย, พวกข้าพระองค์ อันเนื้อทั้งหลายมาจากป่าเต็มพระราชอุทยานของพระองค์ ตั้งแต่นี้ไป พระองค์จะได้เสวยเนื้อของมฤคเหล่านั้น“ แล้วทูลลาพระราชาพากันหลีกไป.
พระราชาได้ทรงสดับคำของมนุษย์เหล่านั้นแล้วเสด็จไปพระราช อุทยาน ทอดพระเนตรเนื้อทั้งหลายทรงเห็นเนื้อสีทอง ๒ ตัว จึงได้พระราชทานอภัยแก่เนื้อทั้งสองนั้น. ก็ตั้งแต่นั้นมาบางคราว เสด็จไปเองทรงฆ่าเนื้อตัวหนึ่งแล้วนำมาบางคราว พ่อครัวของพระองค์ไปฆ่าแล้วนำมาเนื้อทั้งหลายพอเห็นธนูเท่านั้น ถูกความกลัวแต่ความตายคุกคาม พากันหนีไปได้รับการประหาร ๒-๓ ครั้ง ลำบากไปบ้าง ป่วยไปบ้าง ถึงความตายบ้าง.
หมู่เนื้อจึงบอกประพฤติเหตุนั้นแก่พระโพธิสัตว์, พระโพธิสัตว์ไห้เรียกเนื้อสาขะมาแล้วกล่าวว่า "ดูก่อนสหาย เนื้อเป็นอันมากพากันฉิบหาย เมื่อเนื้อมีอันจะต้องตายโดยส่วนเดียว ตั้งแต่นี้ไป ผู้จะฆ่าจงอย่าเอาลูกศรยิงเนื้อ, วาระของเนื้อทั้งหลายจงมีในที่แห่งค้อนของผู้พิพากษา วาระจงถึงแก่บริษัทของเราวันหนึ่ง จงถึงแก่บริษัทของท่านวันหนึ่ง เนื้อตัวที่ถึงวาระจงไปนอนพาดหัวที่ไม้ค้อนของผู้พิพากษา แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น เนื้อทั้งหลายจักไม่กลัว“ เนื้อสาขะรับคำแล้ว.
ตั้งแต่นั้นมา เนื้อที่ถึงวาระ จะไปนอนพาดคอที่ไม้ค้อนพิพากษา พ่อครัวมาจับเอาเนื้อตัวที่นอนอยู่ ณ ที่นั้นนั่นแหละไป. อยู่มาวันหนึ่ง วาระถึงแก่แม่เนื้อผู้มีครรภ์ตัวหนึ่งซึ่งเป็นบริษัทของเนื้อสาขะ แม่เนื้อนั้นเข้าไปหาเนื้อสาขะแล้วกล่าวว่า "เจ้านายข้าพเจ้ามีครรภ์ ตลอดลูกแล้วพวกเราทั้งสองจะไปตามวาระ, ท่านจงให้ข้ามวาระของข้าพเจ้าไปก่อน“
เนื้อสาขะกล่าวว่า „เราไม่อาจทำวาระของเจ้าให้ถึงแก่เนื้อตัวอื่น ๆ เจ้าเท่านั้นจักรู้ว่า เจ้ามีบุตร เจ้าจงไปเถอะ“.
แม่เนื้อนั้น เมื่อไม่ได้ความช่วยเหลือจากสำนักของเนื้อสาขะ จึงเข้าไปหาพระโพธิสัตว์บอกเนื้อความนั้น.
พระโพธิสัตว์นั้นได้ฟังคำของแม่เนื้อนั้นจึงกล่าวว่า „เจ้าจงไปเถอะ เราจักให้วาระของเจ้าข้ามไป“ ครั้นกล่าวแล้ว ตนเองก็ไปนอนกระทำศีรษะไว้ที่ไม้ค้อนพิพากษา.
พ่อครัวเห็นดังนั้นจึงคิดว่า „พระยาเนื้อผู้ได้รับ พระราชทานอภัยนอนอยู่ที่ไม้ค้อนพิพากษา เหตุอะไรหนอ?“ จึงรีบไปกราบทูลแด่พระราชา.
พระราชาเสด็จขึ้นทรงรถในทันใดนั้นเอง เสด็จไปด้วยบริวารใหญ่เห็นพระโพธิสัตว์จึงตรัสว่า „พระยาเนื้อผู้สหายเราให้อภัยแก่ท่านไว้แล้วมิใช่หรือ? เพราะเหตุไรท่านจึงนอนอยู่ ณ ที่นี้?“.
พระยาเนื้อกราบทูลว่า „ข้าแต่มหาราช แม่เนื้อผู้มีครรภ์มากล่าวว่า ขอท่านจงยังวาระของฉันให้ถึงแก่เนื้อตัวอื่น, ก็ข้าพระบาทไม่อาจโยนมรณทุกข์ของเนื้อตัวหนึ่งไปเหนือเนื้อตัวอื่นได้, ข้าพระบาทนั้นจึงให้ชีวิตของตนแก่แม่เนื้อนั้น ถือเอาความตายอันเป็นของแม่เนื้อนั้นแล้วจึงนอนอยู่ ณ ที่นี้, ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์อย่าได้ทรงระแวงเหตุอะไรๆ อย่างอื่นเลย“.
พระราชาตรัสว่า „ดูก่อนสุวรรณมิคราชผู้เป็นนาย แม้ในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย เราก็ไม่เคยเห็นคนผู้เพียบพร้อมด้วยขันติ เมตตาและความเอ็นดูเช่นกับท่าน, ด้วยเหตุนั้น เราจึงเลื่อมใสท่าน, ลุกขึ้นเถิด เราให้อภัยแก่ท่านและแก่แม่เนื้อนั้น“.
พระยาเนื้อกล่าวว่า „ข้าแต่พระผู้จอมคน เมื่อข้าพระบาททั้งสองได้อภัยแล้ว เนื้อที่เหลือนอกนั้น จักกระทำอย่างไร ?
พระราชาตรัสว่า „นาย เราให้อภัยแม้แก่เนื้อที่เหลือด้วย“.
พระยาเนื้อกราบทูลว่า „ข้าแต่มหาราช แม้เมื่อเป็นอย่างนั้นเนื้อทั้งหลายในพระราชอุทยานเท่านั้น จักได้อภัย, เนื้อที่เหลือจักทรงกระทำอย่างไร?“ พระราชาตรัสว่า „นาย เราให้อภัยแก่เนื้อแม้เหล่านั้น“
พระยาเนื้อกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเบื้องต้น เนื้อทั้งหลายได้รับอภัย สัตว์ ๔ เท้าที่เหลือจักกระทำอย่างไร?“ พระราชาตรัสว่า "นาย เราให้อภัยแก่สัตว์ ๔ เท้าแม้เหล่านั้น“,
พระยาเนื้อกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช สัตว์ ๔ เท้าได้รับ พระราชทานอภัยก่อน หมู่นกจักกระทำอย่างไร?“ พระราชาตรัสว่า „นาย แม้หมู่นกเหล่านั้นเราก็ให้อภัย“
พระยาเนื้อกราบทูลว่า เบื้องต้น หมู่นกจักได้รับพระราชทานอภัย พวกปลาที่อยู่ในน้ำจักกระทำอย่างไร“ พระราชาตรัสว่า „นาย แม้หมู่ปลาเหล่านั้นเราก็ให้อภัย“.
พระมหาสัตว์ทูลขออภัยแก่สรรพสัตว์กะพระราชาอย่างนี้แล้วได้ลุกขึ้นยืนให้พระราชาคงอยู่ในศีล ๕ แล้วแสดงธรรมแก่พระราชาด้วยลีลาของพระพุทธเจ้าว่า „ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงประพฤติธรรมในพระชนกชนนีในพระโอรสพระธิดา ในพราหมณ์คฤหบดี ในชาวนิคมและชาวชนบท เมื่อทรงประพฤติธรรม ประพฤติสม่ำเสมออยู่ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกจักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์“ ดังนี้แล้วอยู่ในอุทยาน ๒-๓ วัน ให้โอวาทแก่พระราชาแล้วอันหมู่เนื้อแวดล้อมเข้าป่าแล้ว แม่เนื้อนมแม้นั้นตกลูกออกมาเช่นกับช่อดอกไม้ ลูกเนื้อนั้น เมื่อเล่นได้ จะไปยังสำนักของเนื้อสาขะ.
ลำดับนั้น มารดาเห็นลูกเนื้อนั้นกำลังจะไปยังสำนักของเนื้อสาขะนั้น จึงกล่าวว่า „ลูกเอ๋ย ตั้งแต่นี้ไปเจ้าอย่าไปยังสำนักของเนื้อสาขะนั้น เจ้าพึงไปยังสำนักของเนื้อนิโครธเท่านั้น“ เมื่อจะโอวาทจึงกล่าวคาถาว่า :-
„เจ้าหรือคนอื่นก็ตาม พึงคบหาแต่พระยาเนื้อชื่อว่านิโครธเท่านั้น, ไม่ควรเข้าไปอาศัยอยู่กับพระยาเนื้อชื่อว่าสาขะ, ความตายในสำนักของพระยาเนื้อชื่อว่านิโครธประเสริฐกว่า, การมีชีวิตอยู่ในสำนักพระยา เนื้อสาขะ จะประเสริฐอะไร“.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิโคฺรธเมว เสเวยฺย ความว่า ดูก่อนพ่อ เจ้าหรือคนอื่นก็ตาม ผู้ใคร่ต่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน ควรเสพหรือควรคบหาแต่พระยาเนื้อชื่อว่านิโครธนั้น. บทว่า น สาขํ อุปสํวเส ความว่า แค่เนื้อชื่อว่าสาขะไม่ควรเจ้าไปอยู่ร่วม คือ ไม่ควรเข้าไปใกล้แล้วอยู่ร่วมได้แก่ ไม่ควรอาศัยเนื้อสาขะนั้นเลี้ยงชีวิต. บทว่า นิโคฺรธสฺมึ มตํ เสยฺโย ความว่า แม้การตายอยู่แทบเท้าของพระยาเนื้อชื่อว่านิโครธประเสริฐกว่า คือยอดเยี่ยมสูงสุด. บทว่า ยญฺเจ สาขสฺมิ ชีวิตํ ความว่า ก็ความเป็นอยู่ในสำนักของเนื้อชื่อว่าสาขะนั้น ไม่ประเสริฐคือไม่ยอดเยี่ยมไม่สูงสุดเลย.
ก็จำเดิมแต่นั้น พวกเนื้อที่ได้อภัยพากันกินข้าวกล้าของพวกมนุษย์มนุษย์ทั้งหลายไม่อาจตีหรือไล่เนื้อทั้งหลายด้วยคิดว่า เนื้อเหล่านี้ได้รับพระราชทานอภัย จึงพากันประชุมที่พระลานหลวง กราบทูลความนั้นแด่พระราชาพระราชาตรัสว่า „เรามีความเลื่อมใสให้พรแก่พระยาเนื้อชื่อว่านิโครธ เราถึงจะละราชสมบัติ ก็จะไม่ทำลายปฏิญญานั้น, ท่านทั้งหลายจงไปเถิด, ใคร ๆย่อมไม่ได้เพื่อจะประหารเนื้อทั้งหลายในแว่นแคว้นของเรา“.
พระยาเนื้อนิโครธได้สดับเหตุการณ์นั้น จึงให้หมู่เนื้อประชุมกัน โอวาทเนื้อทั้งหลายว่า „จำเดิมแต่นี้ไปท่านทั้งหลายอย่าได้กินข้าวกล้าของคนอื่น“ ดังนี้แล้ว บอกแก่มนุษย์ทั้งหลายตั้งแต่นี้ไปมนุษย์ทั้งหลายผู้กระทำข้าวกล้าว่า „จงอย่าทำรั้วเพื่อจะรักษาข้าวกล้า แต่จงผูกสัญญาด้วยใบไม้ปักนาไว้“.
ได้ยินว่า จำเดิมแต่นั้น จึงเกิดสัญญาในการผูกใบไม้ขึ้นในนาทั้งหลาย จำเดิมแต่นั้นชื่อว่าเนื้อผู้ล่วงละเมิดสัญญาในการผูกใบไม้ ย่อมไม่มี. ได้ยินว่า ข้อนี้เป็นโอวาทที่พวกเนื้อเหล่านั้นได้จากพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์โอวาทหมู่เนื้ออย่างนี้แล้วดำรงอยู่ตลอดชั่วอายุ. พร้อมกับเนื้อทั้งหลายได้ไปตามยถากรรมแล้ว. ฝ่ายพระราชาทรงตั้งอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ทรงกระทำบุญทั้งหลายได้เสด็จไปตามยถากรรมแล้ว.
พระศาสดาดำรัสว่า „ภิกษุทั้งหลาย เราเป็นที่พึ่งอาศัยของพระเถรีและพระกุมารกัสสป ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็ได้เป็นที่พึ่งอาศัยแล้วเหมือนกัน“ ก็ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วจึงทรงหมุนกลับเทศนาว่า ด้วยสัจจะทั้ง ๔ ตรัสเรื่อง ๒ เรื่องสืบต่ออนุสนธิกันแล้วทรงประชุมชาดกว่า เนื้อชื่อสาขะในครั้งนั้นได้เป็นพระเทวทัต แม้บริษัทของเนื้อสาขะนั้นก็ได้เป็นบริษัทของพระเทวทัตนั่นแหละแน่เนื้อนั้นในครั้งนั้นได้เป็นพระเถรี ลูกเนื้อในครั้งนั้นได้เป็นพระกุมารกัสสป พระราชาได้เป็นอานนท์ ส่วนพระยาเนื้อชื่อว่านิโครธได้เป็นเราเองแล.
Credit: Palipage : Guide to Language - Pali
22. กุกฺกุรชาตกํ - ว่าด้วยสุนัขที่ถูกฆ่า , 21. กุรุงฺคมิคชาตกํ - ว่าด้วยกวางกุรุงคะ , 20. นฬปานชาตกํ - เหตุที่ไม้อ้อเป็นรูทะลุตลอด , 19. อายาจิตภตฺตชาตกํ - ว่าด้วยการเปลื้องตน , 18. มตกภตฺตชาตกํ - ว่าด้วยสัตว์ไม่ควรฆ่าสัตว์ , 17. มาลุตชาตกํ - ว่าด้วยความหนาวเกิดแต่ลม , 16. ติปลฺลตฺถมิคชาตกํ - ว่าด้วยเล่ห์กลลวงพราน , 15. ขราทิยชาตกํ - ว่าด้วยผู้ล่วงเลยโอวาท , 14. วาตมิคชาตกํ - ว่าด้วยอำนาจของรส , 13. กณฺฑินชาตกํ - ว่าด้วยผู้ตกอยู่ในอำนาจหญิง , 12. นิคฺโรธมิคชาตกํ - ว่าด้วยการเลือกคบ , 11. ลกฺขณมิคชาตกํ - ว่าด้วยผู้มีศีล , 10. สุขวิหาริชาตกํ - ว่าด้วยการอยู่เป็นสุข , 09. มฆเทวชาตกํ - ว่าด้วยเทวทูต , 08. คามณิชาตกํ - ว่าด้วยไม่ใจเร็วด่วนได้ , 07. กฏฺฐหาริชาตกํ - ว่าด้วยพระเจ้ากัฏฐวาหนะ , 06. เทวธมฺมชาตกํ - ว่าด้วยธรรมของเทวดา , 05. ตณฺฑุลนาฬิชาตกํ - ว่าด้วยราคาข้าวสาร, 04. จูฬเสฏฺฐิชาตกํ - ว่าด้วยคนฉลาดตั้งตนได้ , 03. เสริววาณิชชาตกํ - ว่าด้วยเสรีววาณิช , 02. วณฺณุปถชาตกํ - ว่าด้วยผู้ไม่เกียจคร้าน , 01. อปณฺณกชาตกํ - ว่าด้วยการรู้ฐานะและมิใช่ฐานะ