วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ครหิตชาตกํ - คนโง่เขลาย่อมเห็นแก่เงิน

ครหิตชาตกํ - คนโง่เขลาย่อมเห็นแก่เงิน

"หิรญฺญํ  เม  สุวณฺณํ  เม,       เอสา  รตฺตึ  ทิวา  กถา;

ทุมฺเมธานํ  มนุสฺสานํ,       อริยธมฺมํ  อปสฺสตํ ฯ

มนุษย์ทั้งหลายผู้มีปัญญาเขลา ไม่เห็นอริยธรรม พูดกันแต่ว่า เงินของเราทองของเรา ดังนี้ ทั้งกลางคืนและกลางวัน."

"ทฺเว  ทฺเว  คหปตโย  เคเห,       เอโก  ตตฺถ  อมสฺสุโก;

ลมฺพตฺถโน  เวณิกโต,         อโถ   องฺกิตกณฺณโก;

กีโต  ธเนน  พหุนา,         โส  ตํ  วิตุทเต  ชนนฺติ ฯ

ในเรือนหลังหนึ่ง มีเจ้าของเรือนอยู่ ๒ คน ใน ๒ คนนั้น คนหนึ่งไม่มีหนวด แต่มีนมห้อยยาน เกล้าผมมวย และเจาะหู เขาซื้อมาด้วยทรัพย์มาก เจ้าของเรือนผู้นั้น ย่อมกล่าวเสียดแทงคนในเรือนนั้นตั้งแต่แรกมาอยู่."

อรรถกถาครหิตชาดกที่ ๙ 

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรงปรารภภิกษุกระสันเพราะเบื่อหน่าย รูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า  หิรญฺญํ  เม  สุวณฺณํ  เม  ดังนี้.

เรื่องย่อมีว่า ภิกษุนั้นไม่มีอารมณ์ยึดแน่วแน่เลย. ภิกษุทั้งหลายนำภิกษุเบื่อหน่ายนั้นเข้าไปเฝ้าพระศาสดา.

พระศาสดาตรัสถามว่า „ได้ยินว่า เธอกระสันจริงหรือ?“ กราบทูลว่า „จริงพระเจ้าข้า“ ตรัสถามว่า „เพราะเหตุไร?“ กราบทูลว่า „เพราะอำนาจกิเลสพระเจ้าข้า.“

ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุ ธรรมดากิเลสแม้สัตว์เดียรฉานทั้งหลายในกาลก่อนก็ติเตียน เธอบวชแล้วในพระศาสนาเช่นนี้ เหตุไฉนจึงกระสันด้วยอำนาจกิเลสที่แม้สัตว์เดียรฉานก็ติเตียนเล่า?“ ทรงนำอดีตมาตรัสเล่า. :-

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี   พระโพธิสัตว์อุบัติในกำเนิดวานร ในหิมวันตประเทศ. ชาวป่าผู้หนึ่งจับวานรนั้นมาถวายพระราชา. วานรนั้นเมื่อได้อยู่ในพระราชวังเป็นเวลานานได้กลายเป็นสัตว์เรียบร้อย. รู้กิริยาที่ประพฤติกันในหมู่มนุษย์เป็นอันมาก.

พระราชาทรงเลื่อมใสในจริยาวัตรของวานรนั้น รับสั่งหาพรานป่ามาตรัสว่า „จงปล่อยวานรเสียในที่ที่จับได้.“ พรานได้ทำตามรับสั่ง.

ฝูงวานรรู้ว่า พระโพธิสัตว์มา เมื่อเห็นพระโพธิสัตว์นั้นจึงประชุมกันที่หลังแผ่นหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ต่างชื่นชมกับพระโพธิสัตว์แล้วถามว่า „สหายท่านอยู่ที่ไหนมาเป็นเวลานาน?“ ตอบว่า „เราอยู่ในพระราชนิเวศน์ในกรุงพาราณสี." ถามว่า „ถ้าเช่นนั้นท่านพ้นมาได้อย่างไร?“ วานรผู้โพธิสัตว์ตอบว่า „พระราชาทำเราให้เป็นลิงสำหรับล้อเล่นแล้วทรงเลื่อมใสในวัตรของเราจึงทรงปล่อยเรา.“

ลำดับนั้น วานรทั้งหลายพูดกะพระโพธิสัตว์ว่า „ท่านรู้กิริยาที่ประพฤติกับมนุษยโลก ขอท่านจงบอกแก่พวกเราก่อน พวกเราประสงค์จะฟัง.“

พระโพธิสัตว์กล่าวว่า „เธออย่าถาม กิริยาของมนุษย์กะเราเลย.“ พวกวานรกล่าวว่า „บอกเถิดท่าน พวกเราอยากฟัง.“

พระโพธิสัตว์กล่าวว่า „ขึ้นชื่อว่ามนุษย์เป็นกษัตริย์ก็ตาม เป็นพราหมณ์ก็ตาม ล้วนกล่าวว่า ของเรา ของเรา, ย่อมไม่รู้ถึงความไม่เที่ยง ความไม่มีอยู่, บัดนี้ พวกเธอจงฟังการกระทำของคนอันธพาลเหล่านั้น.“ แล้วได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-

„คนทั้งหลายผู้มีปัญญาเขลา ไม่เห็นอริยธรรม พูดกันแต่ว่า เงินของเรา ทองของเรา ดังนี้ ทั้งกลางคืนและกลางวัน.“

„ในเรือนหลังหนึ่ง มีเจ้าเรือนอยู่สองคน, ในสองคนนั้น คนหนึ่งไม่มีหนวด แต่มีนมห้อยยาน เกล้าผมมวยและเจาะหู, เขาซื้อมาด้วยทรัพย์มาก เจ้าของเรือนผู้นั้นย่อมกล่าวเสียดแทงคน ในเรือนนั้น ตั้งแต่แรกมาอยู่.“

ในบทเหล่านั้น บทว่า  หิรญฺญํ  เม  สุวณฺณํ  เม  นี้เป็นเพียงหัวข้อเทศนา. ด้วยบททั้งสองนี้กินความรวมรัตนะทั้งสิบประการบุพพัณณชาติ อปรัณณชาติ ไร่นา เรือกสวนและสัตว์ ๒ เท้า๔ เท้า ทุกอย่างแล้วกล่าวว่า นี่ของเรานี้ของเรา.  บทว่า  เอสา  รตฺติทิวา  กตา  ความว่า พวกมนุษย์พูดกันเป็นนิจทั้งกลางวันและกลางคืน มิได้รู้อย่างอื่นว่า เบญจขันธ์ไม่เที่ยงหรือเป็นแล้วหาเป็นไม่ เที่ยวเพ้อรำพันอยู่อย่างนี้แล. บทว่า  ทุมฺเมธานํ  คือ มีปัญญาทราม.  บทว่า  อริยธมฺมํ  อปสฺสตํ  ความว่า ไม่เห็น ธรรมของพระอริยเจ้ามีพระพุทธเจ้าเป็นต้น หรือโลกุตตรธรรม ๙ อันประเสริฐไม่มีโทษ เขาไม่มีการพูดอย่างอื่นว่า ไม่เที่ยงเป็นทุกข์.

บทว่า  คหปตโย  ได้แก่ ผู้เป็นใหญ่ในเรือน.   บทว่า  เอโก  ตตฺถ  ได้แก่ ในเจ้าของเรือนสองคนนั้นท่านกล่าวหมายถึง มาตุคามคนเดียว.   บทว่า  เวณิกโต  คือ เกล้ามวยผม อธิบายว่า มีทรงผมต่าง ๆ.   บทว่า  อโถ  องฺกิตกณฺณโก  ได้แก่ เจาะหูคือหูมีรูเจาะท่านกล่าวหมายถึงมีหูห้อย.   บทว่า  กีโต  ธเนน  พหุนา  ความว่า คนที่ไม่มีหนวดมีนมยาน เกล้ามวยผม เจาะหูเขาให้ทรัพย์มากแก่มารดาบิดาแล้วไถ่มาประดับตกแต่งยกขึ้นสู่ยานพาไปเรือนพร้อมด้วยบริวารใหญ่.  บทว่า  โส  ตํ วิตุทเต  ชนํ  ความว่า เจ้าบ้านคนนั้น ตั้งแต่มาก็ใช้หอก คือปากทิ่มแทงคนในเรือนมีทาสและกรรมกรเป็นต้น ที่เรือนนั้นว่า เจ้าทาสใจร้าย แม่ทาสีใจร้าย เจ้าทำสิ่งนี้ไม่ทำสิ่งนี้ เจ้าตรวจตราผู้คนทำเหมือนอย่างนาย.

วานรพระโพธิสัตว์ติเตียนชาวมนุษย์ว่า „ชาวมนุษย์ไม่สมควรอย่างยิ่งด้วยประการฉะนี้.“ วานรทั้งหมดได้ฟังดังนั้น เอามือทั้งสองปิดหูจนแน่นกล่าวว่า „ท่านอย่าพูดเลย พวกเราฟังสิ่งไม่ควรฟัง.“ ติเตียนที่นั้นว่า „พวกเราฟังสิ่งที่ไม่ควรฟังในที่นี้“ แล้วพากันไปในที่อื่น. นัยว่า หินดาดนั้นได้ชื่อว่าครหิตปิฏฐิปาสาณะ (หินดาดที่ถูกติเตียน).

พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประกาศสัจธรรมทรงประชุมชาดก. เมื่อจบสัจธรรม ภิกษุนั้นตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ฝูงวานรในครั้งนั้นได้เป็นพุทธบริษัทในครั้งนี้ส่วนพญาวานร คือเราตถาคตนี้แล.  จบอรรถกถาครหิตชาดกที่ ๙

Credit: Palipage: Guide to Language - Pali






Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: