“ด้วยยศและความเสื่อมยศเป็นโลกธรรม จงสันโดษตามมีตามได้”
ความสันโดษ คือความยินดีหรือพอใจเท่าที่ตนมีอยู่หรือเป็นอยู่ เพราะฉะนั้น ขอให้นึกถึงพระราชนิพนธ์เป็นบทประพันธ์ในรัชกาลที่ ๕ นี้ว่า
“ยศและลาภ หาบไป ไม่ได้แน่ มีเพียงแต่ ต้นทุน บุญกุศล
ทรัพย์สมบัติ ทิ้งไว้ ให้ปวงชน แม้ร่างตน เขาก็เอา ไปเผาไฟ
เมื่อเจ้ามา มีอะไร มาด้วยเจ้า เจ้าจะเอา แต่สุข สนุกไฉน
เจ้ามามือเปล่า เจ้าจะ เอาอะไร เจ้าก็ไป มือเปล่า เหมือนเจ้ามา”
พระสันนิฏฐาปกเถระ ในอดีตชาติท่านบังเกิดในเรือนมีตระกูล บรรลุนิติภาวะแล้ว ถูกตบแต่งให้มีเหย้าเรือน เห็นโทษในการครองเรือน ละวัตถุกามและกิเลสกาม ไปอยู่ป่าระหว่างภูเขาไม่ไกลหิมวันตบรรพต เป็นผู้สันโดษ ท่านเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า มีใจผ่องใส ไหว้แล้ว ได้ลาดหญ้าถวายเพื่อประทับนั่ง. ให้พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประทับนั่งในที่นั้น ให้เสวยผลาผลมีผลมะพลับเป็นต้นอันมีรสอร่อยเป็นอเนก. ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ท่องเที่ยวไปๆ มาๆ ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เสวยสมบัติทั้งสอง บังเกิดในเรือนมีตระกูลนี้ ถึงพร้อมด้วยศรัทธา บวชแล้ว เจริญวิปัสสนาไม่นานนักก็ได้เป็นพระอรหันต์
ดังคำที่พระสันนิฏฐาปกเถระได้ประกาศประวัติในอดีตชาติของตนไว้ว่า
“ข้าพเจ้าสร้างกระท่อมอยู่ในป่า ในระหว่างภูเขา สันโดษตามมีตามได้ด้วยยศและความเสื่อมยศ
พระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตตระทรงรู้แจ้งโลก ผู้สมควรรับเครื่องบูชา เสด็จมายังสำนักของข้าพเจ้าพร้อมด้วยภิกษุ ๑๐๐,๐๐๐ รูป
พระผู้มีพระภาคผู้มหานาคพระนามว่าปทุมุตตระเสด็จเข้ามา ข้าพเจ้าเห็นแล้วให้ปูลาดเครื่องลาดหญ้าถวายพระศาสดา
ข้าพเจ้าเป็นผู้มีจิตเลื่อมใสมีใจยินดี ได้ถวายผลแฟงและน้ำฉันแด่พระผู้มีพระภาคผู้ซื่อตรง ด้วยทั้งจิตที่ผ่องใส
ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ นับจากกัปนี้ไป ข้าพเจ้าได้ถวายทานไว้ในครั้งนั้น จึงไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายผลแฟง ดังนี้เป็นต้น
สาระธรรมจากสันนิฏฐาปกเถราปทาน
พระมหาวัชระ เชยรัมย์ (ติกฺขญาโณ)
2/10/64
0 comments: