ฆตาสนชาตกํ - ว่าด้วยภัยเกิดจากที่พึ่ง
"เขมํ ยหึ ตตฺถ อรี อุทีริโต, ทกสฺส มชฺเฌ ชลเต ฆตาสโน; น อชฺช วาโส มหิยา มหีรุเห, ทิสา ภชวฺโห สรณาชฺช โน ภยนฺติ ฯ ความเกษมมีอยู่บนหลังน้ำใด บนหลังน้ำนั้น มีข้าศึกมารบกวน ไฟลุกโพลงอยู่ ณ ท่ามกลางน้ำ วันนี้ การอยู่ของพวกเราที่ต้นไม้อันเกิดที่ แผ่นดินนี้ไม่มี, ท่านทั้งหลายจงพากันหลีกไปเสียยังทิศทั้งหลายเถิด วันนี้ ภัยเกิดขึ้นจากที่พึ่งของพวกเรา."
อรรถกถาฆตาสนชาดกที่ ๓
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเขตวันมหาวิหารทรงปรารภภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทคนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า เขมํ ยหึ ดังนี้.
ความพิสดารว่า ภิกษุนั้นเรียนพระกรรมฐานจากสำนักของพระศาสดาแล้วไปสู่บ้านชายแดนตำบลหนึ่ง อาศัยหมู่บ้านหมู่หนึ่งจำพรรษาในเสนาสนะป่า ในเดือนแรกนั้นเองเมื่อเธอเข้าไปบิณฑบาต บรรณศาลาถูกไฟไหม้. เธอลำบากด้วยไม่มีที่อยู่ จึงบอกพวกอุปัฏฐาก คนเหล่านั้นพากันพูดว่า „ไม่เป็นไรดอกพระคุณเจ้า พวกกระผมจักสร้างบรรณศาลาถวาย รอให้พวก กระผมไถนาเสียก่อน หว่านข้าวเสียก่อนเถิดขอรับ“ จนเวลา ๓ เดือนผ่านไป. เธอไม่อาจบำเพ็ญพระกรรมฐานให้ถึงที่สุดได้เพราะไม่มีเสนาสนะเป็นที่สบาย แม้เพียงนิมิตก็ให้เกิดขึ้นไม่ได้พอออกพรรษาเธอจึงไปสู่พระเชตวันวิหาร ถวายบังคมพระศาสดาแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง
พระศาสดาทรงทำปฏิสันถารกับเธอแล้วตรัสถามว่า „ดูก่อนภิกษุ กรรมฐานของเธอเป็นสัปปายะหรือไม่เล่า ?“ เธอจึงกราบทูลความไม่สะดวกจำเดิมแต่ต้นพระศาสดาตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุ ในกาลก่อนโน้น แม้สัตว์ดิรัจฉานทั้งหลาย ก็ยังรู้จักสัปปายะและอสัปปายะของตน พากันอยู่อาศัยในเวลาสบาย ในเวลาไม่สบายก็พากันทิ้งที่อยู่เสียไปในที่อื่นเหตุไรเธอจึงไม่รู้สัปปายะและอสัปปายะของตนเล่า“ เธอกราบทูลอาราธนา จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดนก บรรลุความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว ถึงความงามเป็นเลิศได้เป็นพระยานก อาศัยต้นไม้ใหญ่ สมบูรณ์ด้วยกิ่งก้าน สาขาและค่าคบ มีใบหนาแน่นอยู่ใกล้ฝั่งสระเกิดเอง ในแนวป่าตำบลหนึ่ง อยู่เป็นหลักฐาน พร้อมทั้งบริวาร นกเป็นจำนวนมาก เมื่ออยู่ที่กิ่งอันยื่นไปเหนือน้ำของต้นไม้นั้น ก็พากันถ่ายคูถลงในน้ำ
และในชาตสระนั่นเล่าก็มีนาคราช ผู้ดุร้ายอาศัยอยู่ นาคราชนั้นมีวิตกว่า „นกเหล่านี้พากันขี้ลงในสระอันเกิดเอง อันเป็นที่อยู่ของเรา เห็นจะต้องให้ ไฟลุกขึ้นจากน้ำเผาต้นไม้เสีย ให้พวกมันหนีไป“ พญานาคนั้นมีใจโกรธ ตอนกลางคืน เวลาที่พวกนกทั้งหมดมาประชุมกันนอนที่กิ่งไม้ทั้งหลาย ก็เริ่มทำให้น้ำเดือดพล่าน เหมือนกับยกเอาสระขึ้นตั้งบนเตาไฟฉะนั้น เป็นชั้นแรก ชั้นที่สองก็ทำให้ควันพุ่งขึ้น ชั้นที่สามทำให้เปลวไฟลุกขึ้นสูงชั่วลำตาล
พระโพธิสัตว์เห็นไฟลุกขึ้นจากน้ำ ก็กล่าวว่า „ดูก่อนชาวเราฝูงนกทั้งหลายธรรมดาไฟติดขึ้นเขาก็พากันเอาน้ำดับ แต่บัดนี้ น้ำนั่นแหละกลับลุกเป็นไฟขึ้น พวกเราไม่อาจอยู่ในที่นี้ได้ ต้องพากันไปที่อื่น“ แล้วกล่าวคาถานี้ว่า :-
„ความเกษมมีอยู่บนหลังน้ำใด บนหลังน้ำนั้น มีข้าศึกมารบกวน ไฟลุกโพลงอยู่กลางน้ำ วันนี้จะอยู่บนต้นไม้ เหนือแผ่นดินไม่ได้แล้ว พวกเจ้าจงพากันบินไปตามทิศทางกันเถิด วันนี้ ที่พึ่งของพวกเราเป็นภัยเสียแล้ว.“
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เขมํ ยหึ ตตฺถ อรี อุทีริโต ความว่า ความเกษมคือความปลอดภัย มีอยู่เหนือน้ำใด บนเหนือน้ำนั้น มีข้าศึกศัตรูประชิดแล้ว. บทว่า ทกสฺส เท่ากับ อุทกสฺส แปลว่า แห่งน้ำ. ไฟชื่อว่าฆตาสนะ อธิบายว่า ไฟนั้นย่อมคนเปรียงเพราะเหตุนั้น ท่านจึงเรียกว่า ฆตาสนะ. บทว่า น อชฺช วาโส ความว่า วันนี้ที่อยู่ของพวกเราไม่มีแล้ว. ในบทว่า มหิยา มหีรุโห นี้ ต้นไม้ท่านเรียกว่า มหีรุกฺโขบนต้นไม้นั้น อธิบายว่าได้แก่ ต้นไม้ที่เกิดบนแผ่นดินนี้. บทว่า ทิสา ภชวฺโห ความว่า ท่านทั้งหลายจงคบ คือพากันบินไปตามทิศทาง. บทว่า สรณชฺช โน ภยํ ความว่า วันนี้ ภัยเกิดแต่ที่พึ่งของพวกเราแล้ว คือ ที่พำนักของพวกเรา เกิดเป็นภัยขึ้นแล้ว.
พระโพธิสัตว์ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็พาฝูงนกที่เชื่อฟังคำบินไปในที่อื่น ฝูงนกที่ไม่เชื่อฟังคำของพระโพธิสัตว์ ต่างพากันเกาะอยู่ ถึงความสิ้นชีวิตแล้ว.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสประกาศสัจจะในเวลาจบสัจจะภิกษุนั้นดำรงอยู่ในพระอรหัตผลแล้วทรงประชุมชาดกว่า ฝูงนกที่กระทำตามคำของพระโพธิสัตว์ในครั้งนั้นได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วนพระยาหกได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล. จบอรรถกถาฆตาสนชาดกที่ ๓
ที่มา : Palipage: Guide to Language - Pali
0 comments: