จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๒)
ดำเนินความตามจักกวัตติสูตร
เมื่อพระราชาพระองค์ที่ ๘ ได้ฟังคำกราบทูลของคณะบุคคลที่เข้าเฝ้าให้ใช้หลักจักรวรรดิวัตรปกครองบ้านเมือง ก็ตรัสสอบถามถึงจักรวรรดิวัตร ผู้ที่จำทรงหลักจักรวรรดิวัตรไว้ได้ก็กราบทูลให้ทรงทราบทุกประการ พระราชาก็กลับมาใช้หลักจักรวรรดิวัตรปกครองบ้านเมืองเหมือนเมื่อครั้งก่อน แต่ถึงดังนั้น ก็ทรงบกพร่องไปข้อหนึ่ง นั่นคือ -
โน จ โข อธนานํ ธนมนุปฺปทาสิ ฯ ไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่ผู้ไร้ทรัพย์
คงจำกันได้ว่า ในจักรวรรดิวัตร ๕ ข้อ หรือ ๑๒ ข้อนั้น มีข้อหนึ่งว่า :-
เย จ เต ตาต วิชิเต อธนา, เตสญฺจ ธนํ อนุปฺปทชฺเชยฺยาสิ ฯ ดูก่อนพ่อ อนึ่ง บุคคลเหล่าใดในแว่นแคว้นของพ่อไม่มีทรัพย์ พ่อพึงให้ทรัพย์แก่บุคคลเหล่านั้นด้วย
ท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ผู้จัดทำพระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชนถอดความว่า :- ผู้ใดไม่มีทรัพย์ก็มอบทรัพย์ให้ / เพิ่มให้ทรัพย์แก่ผู้ไม่มีทรัพย์
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) นำมาแสดงไว้ว่า :-
4. ธนานุประทาน (ปันทรัพย์เฉลี่ยให้แก่ชนผู้ไร้ทรัพย์ มิให้มีคนขัดสนยากไร้ในแว่นแคว้น - Dhanānuppadāna: to let wealth be given or distributed to the poor)
คำว่า “โน จ โข อธนานํ ธนมนุปฺปทาสิ = ไม่พระราชทานทรัพย์ให้แก่ผู้ไร้ทรัพย์” ถ้าถอดความให้ครอบคลุมก็น่าจะหมายรวมถึงบริหารจัดการเรื่องเศรษฐกิจล้มเหลว เมื่อเศรษฐกิจพัง คนก็จนกันมากขึ้น ทำอย่างไรจะรอดได้ ก็ทำกันทุกวิถีทาง ในที่สุดก็เกิดพฤติกรรมที่ไม่เคยเกิดมาก่อน นั่นคือ อทินนาทาน การลักขโมยกัน
ตรงนี้ทำให้นึกถึงวาทกรรมหรือคำคมของใครก็ไม่ทราบที่เคยพูดกันว่า
“ถ้าท้องหิว คนจะปฏิบัติธรรมอยู่ได้อย่างไร” คือ คนพูดต้องการจะแย้งว่า อย่าเอาแต่สอนธรรมะท่าเดียว ต้องคิดถึงปากท้องของประชาชนด้วย เพียงแต่ว่าสมัยอายุขัย ๘๐,๐๐๐ ปี กับสมัยอายุขัย ๑๐๐ ปี บริบทมันต่างกัน สมัยโน้นผู้คนประพฤติธรรมกันทั้งแผ่นดิน ไม่มีความดีอะไรที่เมื่อรู้ว่าดีแล้วคนจะไม่ทำ แต่สมัยนี้ อธรรมแพร่หลายไปทั่วแผ่นดิน ไม่มีความชั่วอะไรที่คนจะทำไม่ได้ คนสมัยโน้นแม้ท้องหิวก็ยังไม่ทิ้งธรรม แต่คนสมัยนี้ต่อให้ท้องอิ่มก็ทำชั่วได้ พูดสั้นๆ สมัยนี้ แม้ท้องอิ่มก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะประพฤติธรรม และในทางกลับกัน-แม้ท้องหิวก็ใช่ว่าจะต้องทำชั่วกันทุกคนไป เพราะฉะนั้น เวลาจะแก้แทนให้ใครว่า เขาทำชั่วเพราะความหิว ก็ต้องดูบริบทให้ทั่วถึงด้วย
สรุปว่า มนุษย์เริ่มทำชั่วอย่างแรก คืออทินนาทาน-การขโมย
และเมื่อจับขโมยได้ก็เอาตัวมาสอบสวน พระราชาทรงสอบสวนเอง สำนวนการสอบสวนน่าสนใจ ขออนุญาตนำมาเสนอพร้อมทั้งคำบาลีเพื่อเจริญปัญญา ญาติมิตรที่อ่านเรื่องนี้ ขอความกรุณาอย่าเพิ่งรำคาญว่าเอาคำบาลีมาใส่ไว้รุงรังไปหมด ไม่ถนัดอ่านคำบาลีก็ข้ามไปได้ เมื่อใดสนใจอยากจะดูสำนวนต้นฉบับก็มีให้ดู
สจฺจํ กิร ตฺวํ อมฺโภ ปุริส ปเรสํ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยสีติ ฯ พ่อบุรุษ ได้ยินว่าเธอขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่นไปจริงหรือ สจฺจํ เทวาติ ฯ จริงพระพุทธเจ้าข้า กึการณาติ ฯ เพราะเหตุไร น หิ เทว ชีวามีติ ฯ เพราะไม่มีอะไรจะเลี้ยงชีพพระพุทธเจ้าข้า
ลำดับนั้น ท้าวเธอจึงพระราชทานทรัพย์ให้แก่เขา แล้วรับสั่งว่า :- อิมินา ตฺวํ อมฺโภ ปุริส ธเนน อตฺตนา จ ชีวาหิ พ่อบุรุษ ทรัพย์นี้เธอจงใช้เลี้ยงชีพ มาตาปิตโร จ โปเสหิ เลี้ยงมารดาบิดา ปุตฺตทารญฺจ โปเสหิ เลี้ยงบุตรภรรยา กมฺมนฺเต ปโยเชหิ ใช้เป็นทุนประกอบการงาน สมเณสุ พฺราหฺมเณสุ อุทฺธคฺคิกํ ทกฺขิณํ ปติฏฺฐเปหิ โสวคฺคิกํ สุขวิปากํ สคฺคสํวตฺตนิกนฺติ ฯ ใช้ทำบุญในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย อันจะส่งผลสูงส่งเป็นความดีงามล้ำเลิศ มีสุขเป็นผล นำตนไปสู่สวรรค์นั่นเถิด
ที่มา : จักกวัตติสูตร ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๑๑ ข้อ ๓๙
ขอให้สังเกตว่า การพระราชทานทรัพย์ให้แก่ขโมยนั้นมิได้พระราชทานแบบเลื่อนลอยปล่อยส่ง เหมือนแจกเงินประชาชนตามนโยบายประชานิยมของผู้บริหารบ้านเมืองบางคน หากแต่มีคำสั่งกำกับไปด้วย เป็นการพระราชทานอย่างมีเป้าหมาย และขอให้สังเกตเป้าหมายด้วยว่า มิใช่มุ่งเพียงทิฏฐธัมมิกประโยชน์-ประโยชน์ในชีวิตนี้เท่านั้น หากแต่มุ่งไปถึงสัมปรายิกัตถประโยชน์-ประโยชน์ในชีวิตหน้าด้วย เป้าหมายแบบนี้เราแทบจะหาไม่พบในนโยบายของผู้บริหารบ้านเมืองยุคปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม นโยบายแจกเงินให้หัวขโมยได้กลายเป็นความผิดพลาดที่คาดไม่ถึง นำไปสู่ปัญหาร้ายแรงที่ส่งผลไปถึงอนาคตของมนุษยชาติในกาลต่อไปด้วย
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย, ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๔, ๑๑:๓๗
จักกวัตติสูตรศึกษา (๒๐) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๙) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๘) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๗) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๖) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๕) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๔) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๓) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๒) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๑), จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๐), จักกวัตติสูตรศึกษา (๙), จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๘), จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๗), จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๖), จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๕), จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๔), จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๓), จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๒), จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๑)
0 comments: