นตฺถิสนฺติปรํสุขํ ช่วยกันเขียนให้ถูก และแปลอย่าให้ผิด
นตฺถิสนฺติปรํสุขํ ช่วยกันเขียนให้ถูก และแปลอย่าให้ผิด “นตฺถิสนฺติปรํสุขํ” อ่านว่า นัด-ถิ-สัน-ติ-ปะ-รัง-สุ-ขัง.
เป็นพุทธภาษิตที่ค่อนข้างคุ้นหูคุ้นปากชาวพุทธ ในที่นี้เขียนติดกันเป็นพืดเพื่อให้ลองฝึกแยกคำตามหลักที่ว่า ภาษาบาลีเขียนแยกเป็นคำๆ แบบเดียวกับภาษาอังกฤษ “นตฺถิสนฺติปรํสุขํ” มีคำอยู่ 4 คำ คือ :-
(๑) “นตฺถิ” อ่านว่า นัด-ถิ เป็นคำกริยา (กิริยาอาขยาต) รูปคำเดิมมาจาก น + อตฺถิ
(ก) “อตฺถิ” (อัด-ถิ) สูตรการ “ทำตัว” ว่า อสฺ (ธาตุ = มี, เป็น) + อ ปัจจัย ประจำหมวด ภู ธาตุ (กัตตุวาจก) + ติ วัตตมานาวิภัตติ, ลบ สฺ ที่สุดธาตุ (อสฺ > อ), ลบ อ ปัจจัย, แปลง ติ เป็น ตฺถิ : อสฺ + อ = อส + ติ = อสฺติ > อติ > อตฺถิ แปลว่า “ย่อมมี” “ย่อมเป็น”
(ข) “น” (นะ) (คำนิบาต = ไม่, ไม่ใช่) + อตฺถิ = นตฺถิ แปลว่า “ย่อมไม่มี” “ย่อมไม่เป็น”
ข้อสังเกต : เราทราบแล้วว่า “น” คำนี้เมื่อไปรวมในแบบสมาสกับคำอื่น ต้องแปลงรูปตามกฎ คือ – ถ้าคำที่ “น” ไปสมาสด้วยขึ้นต้นด้วยสระ ให้แปลง “น” เป็น “อน” ถ้าคำที่ “น” ไปสมาสด้วยขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ ให้แปลง “น” เป็น “อ” ในที่นี้ คำที่ “น” ไปรวมด้วยขึ้นต้นด้วยสระ (คือ อตฺถิ ขึ้นต้นด้วย อ-) ถ้าใช้สูตรดังกล่าว ต้องแปลง “น” เป็น “อน” : น > อน + อตฺถิ = อนตฺถิ แต่ในที่นี้ “น” คงรูปเป็น “น” ไม่แปลงเป็น “อน” : น + อตฺถิ = นตฺถิ
เหตุผลคือ (1) “อตฺถิ” เป็นคำกริยา และคำกริยาในภาษาบาลีมีรูปสำเร็จในตัวเอง (ไม่ไปสมาสเพื่อเป็นคำเดียวกันกับคำอื่น) (2) ว่ากันตามหลักจริงๆ “นตฺถิ” ก็คือ “น” สนธิกับ “อตฺถิ” เพราะฉะนั้น “นตฺถิ” ก็คือ “น” คำหนึ่ง กับ “อตฺถิ” อีกคำหนึ่งนั่นเอง
(๒) “สนฺติ” อ่านว่า สัน-ติ รากศัพท์มาจาก สมฺ (ธาตุ = สงบ) + ติ ปัจจัย, แปลง มฺ ที่สุดธาตุเป็น นฺ (สมฺ > สน) : สมฺ + ติ = สมฺติ > สนฺติ แปลตามศัพท์ว่า “ภาวะที่กิเลสสงบ” หมายถึง ความราบรื่น, ความสงบ (tranquillity, peace)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า – “สันติ : (คำนาม) ความสงบ เช่น อยู่ร่วมกันโดยสันติ. (ป.; ส. ศานฺติ).” สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า – “ศานฺติ : (คำนาม) ความสงบ; บรมสุข; tranquillity; felicity.” ในทางธรรม “สนฺติ” หมายถึง นิพพาน
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต ขยายความคำว่า “สันติ” ไว้ว่า –“สันติ : ความสงบ, ความระงับดับหายหมดไปแห่งความพลุ่งพล่านเร่าร้อนกระวนกระวาย, ภาวะเรียบรื่นไร้ความสับสนวุ่นวาย, ความระงับดับไปแห่งกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดความเร่าร้อนว้าวุ่นขุ่นมัว, เป็นไวพจน์หนึ่งของ นิพพาน.”
(๓) “ปรํ” อ่านว่า ปะ-รัง รากศัพท์มาจาก ป (แทนศัพท์ว่า “ปกฏฺฐ” = สูงสุด) + รา (ธาตุ = ถือเอา) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ และสระที่สุดธาตุ (รา > ร) : ป + รา = ปรา + ณ = ปราณ > ปรา > ปร แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่ถือเอาความสูงสุด” หมายถึง สูงสุด, พิเศษสุด, เป็นเลิศ, ดีที่สุด (highest, most excellent, superior, best)
(๔) “สุขํ” อ่านว่า สุ-ขัง เป็นคำที่เราคุ้นกันดี เช่นในคำว่า อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ. “สุขํ” คำเดิมเป็น “สุข” (สุ-ขะ) รากศัพท์มาจาก – (1) สุ (ดี, งาม, สะดวก) + ขมฺ (ธาตุ = อดทน, อดกลั้น) + กฺวิ ปัจจัย, ลบ กฺวิ และ ม ที่สุดธาตุ : สุ + ขมฺ = สุขม + กฺวิ = สุขมกฺวิ > สุขม > สุข แปลตามศัพท์ว่า “ภาวะที่ทนได้ง่าย” (2) สุ (ดี, งาม, สะดวก) + ขนฺ (ธาตุ = ขุด) + กฺวิ ปัจจัย, ลบ กฺวิ และ น ที่สุดธาตุ : สุ + ขนฺ = สุขน + กฺวิ = สุขนกฺวิ > สุขน > สุข แปลตามศัพท์ว่า “ภาวะที่ขุดความทุกข์ด้วยดี”
(3) สุ (ดี, งาม, สะดวก) + ขาทฺ (ธาตุ = เคี้ยวกิน) + กฺวิ ปัจจัย, ลบ กฺวิ และ ท ที่สุดธาตุ, ลดเสียง อา ที่ ขา-(ทฺ) เป็น อะ : สุ + ขาทฺ = สุขาท + กฺวิ = สุขาทกฺวิ > สุขาท > สุขา > สุข แปลตามศัพท์ว่า “ภาวะที่เคี้ยวกินความทุกข์ด้วยดี” (4) สุขฺ (ธาตุ = สุขสบาย) + อ ปัจจัย : สุขฺ + อ = สุข แปลตามศัพท์ว่า “ภาวะที่ยังบุคคลให้สุขสบาย” (5) สุ (ง่าย, สะดวก) + ข (โอกาส) : สุ + ข = สุข แปลตามศัพท์ว่า “ภาวะที่ให้โอกาสได้ง่าย”
“สุข” เราแปลทับศัพท์กันจนอาจจะไม่เคยคิดว่าหมายถึงอะไร
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “สุข” ไว้ดังนี้ – (1) agreeable, pleasant, blest (เป็นที่พอใจ, รื่นรมย์, ได้รับพร) (2) wellbeing, happiness, ease (ความผาสุก, ความสุข, ความสบาย) (3) ideal, success (อุดมคติ, ความสำเร็จ)
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า – “สุข, สุข- : (คำนาม) ความสบายกายสบายใจ เช่น ขอให้อยู่ดีมีสุข เกิดมาก็มีสุขบ้างทุกข์บ้าง, มักใช้เข้าคู่กับคำ เป็น เช่น ขอให้อยู่เย็นเป็นสุข ขอให้เป็นสุข ๆ นะ. (คำวิเศษณ์) สบายกายสบายใจ เช่น เดี๋ยวนี้เขาอยู่สุขสบายดี. (ป., ส.).”
การแยกศัพท์ : “นตฺถิสนฺติปรํสุขํ” แยกศัพท์ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ (๑) “นตฺถิ” แปลว่า “ย่อมไม่มี” (๒) “สนฺติปรํ” (เขียนติดกัน) แปลว่า “อันยิ่งกว่าสันติ” (๓) “สุขํ” แปลว่า “ความสุข” เขียนเต็มๆ ที่ถูกต้องเป็น “นตฺถิ / สนฺติปรํ / สุขํ” แปลว่า “ความสุขอันยิ่งกว่าสันติย่อมไม่มี”
“สันติ” ในที่นี้ท่านหมายถึงพระนิพพาน
ขยายความ : บาลีบทนี้ พบว่าเมื่อนำไปเขียนหรือนำไปพูด มักคลาดเคลื่อน 2 ข้อ คือ –
(1) เขียนแยกคำไม่ถูกต้อง คือมักแยกเป็น นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ (4 คำ) ที่ผิดก็คือแยก “สนฺติ” เป็นคำหนึ่ง และ “ปรํ” เป็นอีกคำหนึ่ง ที่ถูกต้อง “สนฺติ” กับ “ปรํ” ต้องเขียนติดกันเป็นคำเดียว คือ “สนฺติปรํ”
(2) แปลไม่ถูกต้อง เท่าที่พบ มักแปลกันว่า “สุขอื่นนอกจากความสงบไม่มี” นั่นคือ – แปล “สนฺติ” ว่า “ความสงบ” เป็นคำแปลที่ไม่ผิด, แปล “ปรํ” “อื่น” เป็นคำแปลที่คลาดเคลื่อน
รวมกันเป็นคำแปลว่า “อื่นจากความสงบ” ก็คือ นอกจากความสงบ เมื่อรวมทั้งประโยคจึงเป็น “สุขอื่นนอกจากความสงบไม่มี” ซึ่งเป็นคำแปลที่ผิดความจริง
คำว่า “นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ” (เป็นคาถา 1 บาทหรือ 1 วรรค) มาในพระไตรปิฎก คัมภีร์อรรถกถาอธิบายว่า – สนฺติปรํ สุขนฺติ: นิพฺพานโต อุตฺตรึ อญฺญํ สุขํปิ นตฺถิ. อญฺญํ หิ สุขํ สุขเมว, นิพฺพานํ ปน ปรมสุขนฺติ อตฺโถ.
แปลว่า: สองบทว่า สนฺติปรํ สุขํ ความว่า แม้สุขอื่นยิ่งกว่าพระนิพพานย่อมไม่มี. อธิบายว่า ความจริงสุขอย่างอื่นก็เป็นสุขเหมือนกัน, แต่พระนิพพานเป็นสุขที่ยอดเยี่ยม (กว่าสุขอื่นๆ).
ที่มา: อัญญตรกุลทาริกาวัตถุ, ธัมมปทัฏฐกถา ภาค 6 หน้า 125
ถ้าแปลว่า “สุขอื่นนอกจากความสงบก็ไม่มี” ก็ย่อมผิดความจริง ความจริงก็คือสุขอื่นๆ ก็ยังมี ไม่ใช่ไม่มี เช่นสุขของคฤหัสถ์ 4 อย่าง พระพุทธองค์ก็ตรัสสอนไว้เอง จะว่า “สุขอื่นไม่มี” ได้อย่างไร
ประเด็นอยู่ตรงที่-แม้สุขอื่นๆ จะมีอยู่ก็จริง แต่ก็ไม่มีสุขใดที่ยอดเยี่ยมไปกว่าสันติ สันติ (คือพระนิพพาน) จึงเป็นสุขที่ยอดเยี่ยมกว่าสุขอื่นๆ
เพราะฉะนั้น “นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ” จึงต้องแปลว่า สุขอื่น “ยิ่งกว่า” สันติไม่มี (ไม่มีสุขอื่นยิ่งกว่าสันติ) ไม่ใช่ – สุขอื่น “นอกจาก” สันติไม่มี (ไม่มีสุขอื่นนอกจากสันติ) – ซึ่งผิดความจริง
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “สนฺติปรํ” ว่า higher than calm (สูงกว่าความสงบ) หมายความว่า สุขอื่นๆ ก็มี แต่สุขที่จะ “สูงกว่าความสงบ” ไม่มี
ดูก่อนภราดา! : ถ้าเอาภาพที่เราร้องไห้และหัวเราะ ตั้งแต่วันที่เราเกิดจนถึงวันนี้ มาตัดต่อสลับกัน แล้วฉายดู : ท่านจะเห็นคนบ้าคนหนึ่ง
ที่มา : http://dhamma.serichon.us/
___
ผู้ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุข , คนโง่ ไม่ควรเป็นผู้นำ , ผู้นำ ผู้ตาม , ม่ถูกนินทา ไม่มีในโลก , ผู้ใดให้ที่พักอาศัย ผู้นั้นชื่อว่าให้สิ่งทั้งปวง ผู้ใดสอนธรรม ผู้นั้นชื่อว่าให้อมตะ , บุญเป็นสิ่งเดียวที่โจรขโมยจากเราไปไม่ได้ , ผู้มีศีลย่อมได้รับคำชื่นชมและมีความสุขสงบใจอันเกิดจากกุศล , ผู้ให้ ย่อมผูกไมตรีไว้ได้ , สุภาษิตและสำนวนในภาษาอังกฤษ (2) , สุภาษิตและสำนวนในภาษาอังกฤษ (1) , คำคมภาษาอังกฤษ , 'เชื่อมั่นในตน' เกิดเป็นคนควรจะพยายามจนกว่าจะประสบความสำเร็จ , ตนแล เป็นที่พึ่งแห่งตน , ชนะตนแล ประเสริฐกว่า , ปัญญาย่อมประเสริฐกว่าทรัพย์ , คนที่เป็นอยู่ด้วยปัญญา นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า มีชีวิตประเสริฐ , ธรรมเป็นเหตุให้ยศเจริญ , ผู้ให้ ย่อมเป็นที่รัก , ชนเหล่าใดประมาท ชนเหล่านั้นเป็นเหมือนคนที่ตายแล้ว , จิตที่บุคคลตั้งไว้ชอบ , เพียงดังแก้วมณีโชติรส , ผู้ดำเนินชีวิตโดยธรรม , ผู้เห็นภัยในความประมาทโดยปกติ , ผู้เพ่งความสงบ พึงละโลกามิสเสีย , พุทธภาษิตเกี่ยวกับความตาย , ความไม่รู้เป็นมลทินร้ายที่สุด , คนชั่วช้า ไม่พ้นตาสังคม , เมื่อจักขุวิญญาณเห็นรูป ก็เป็นเพียงแต่เห็น , เมื่อจิตเลื่อมใสแล้ว ทักขิณาทานชื่อว่าน้อย ย่อมไม่มี , ช่วยกันเขียนให้ถูก และแปล อย่าให้ผิด , ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร ผู้นั้นจักทนอยู่ได้ , การให้ธรรมเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง , คนล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร , มลทินที่ร้ายแรงที่สุด
0 comments: