เอกปณฺณชาตกํ - ว่าด้วยต้นไม้ใบเดียว
"เอกปณฺโณ อยํ รุกฺโข, น ภูมฺยา จตุรงฺคุโล; ผเลน วิสกปฺเปน, มหายํ กึ ภวิสฺสตีติ ฯ ต้นไม้นี้มีเพียงใบเดียว จากพื้นสูงไม่เกิน ๔ นิ้ว ยังมีรสเช่นกับยาพิษ ต้นไม้นี้เติบโตขึ้นจักขมสักเพียงไหน?"
อรรถกถาเอกปัณณชาดกที่ ๙
พระศาสดาเมื่อทรงอาศัยพระนครไพสาลี ประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า เอกปณฺโณ อยํ รุกฺโข ดังนี้.
ความพิสดารว่า ในกาลครั้งนั้น พระนครเวสาลี มีกำแพงล้อมถึง ๓ ชั้น ตลอดบริเวณคาวุตหนึ่ง ประกอบไปด้วยกระท่อมพลและป้อมในที่ทั้งสาม ถึงความเป็นเมืองงดงามอย่างยิ่ง จำนวนพระราชาเสวยราชสมบัติอยู่เป็นนิตยกาล ในพระนครนั้นเล่ามีถึงเจ็ดพันเจ็ดร้อยเจ็ดองค์ จำนวนอุปราชก็เท่านั้นเหมือนกันเสนาบดีและขุนคลัง ก็มีจำนวนฝ่ายละเท่านั้น. ในกลุ่มแห่งโอรสของราชาเหล่านั้นมีราชกุมารผู้หนึ่ง พระนามว่าทุฏฐลิจฉวีเป็นผู้มักโกรธ ดุร้าย หยาบคาย เป็นเสมือนอสรพิษที่ถูกตี ด้วยไม้ คอยเป็นฟืนเป็นไฟอยู่เป็นประจำ ผู้ที่จะชื่อว่าสามารถกล่าวถ้อยคำ สองสามคำ ต่อหน้าพระกุมารด้วยอำนาจแห่งความโกรธ ไม่มีเลย พระมารดา พระบิดา พระประยูรญาติและพระสหาย ต่างไม่สามารถที่จะอบรมเธอได้เลย.
ครั้งนั้น พระมารดาและพระบิดาของเธอได้ทรงวิตกว่า „กุมารนี้หยาบคายยิ่งนัก โหดเหี้ยม เว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ผู้อื่นที่จะชื่อว่าสามารถอบรมเธอได้ไม่มีเลย เธอควรจะเป็นผู้อันพระพุทธเจ้าทรงแนะนำ“ ดังนี้แล้ว พาพระกุมารไปสู่สำนักของพระศาสดาถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า „ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กุมารนี้ ดุร้าย หยาบคาย รุ่งโรจน์อยู่ด้วยความโกรธขอพระองค์ทรงประทานพระโอวาทแก่กุมารนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า“
พระศาสดาทรงโอวาทพระกุมารว่า „ดูก่อนกุมาร เธอไม่น่าจะเป็นคนดุร้าย หยาบคาย ร้ายกาจ ชอบข่มเหงรังแกในหมู่สัตว์เหล่านี้เลย ขึ้นชื่อว่าคนมีวาจาหยาบ ย่อมไม่เป็นที่รัก ที่ชอบใจ แม้ของมารดาบังเกิดเกล้า แม้ของบิดา แม้ของบุตรภรรยา แม้ของพี่น้องชายหญิง แม้ของหมู่มิตรเผ่าพันธุ์พวกพ้อง เป็นที่ตั้งแห่งความหวาดหวั่น เหมือนงูที่กำลังเลื้อยมากัด เหมือนโจรที่ส้องสุมกันอยู่ในดง เหมือนยักษ์ที่กำลังเดินมาจับกิน ในวารจิตที่ ๒ ย่อมบังเกิดในนรกเป็นต้นได้
ในปัจจุบันนั้นเล่า คนมักโกรธถึงจะประดับประดางดงาม ก็คงยังมีผิวพรรณเศร้าหมองอยู่นั่นเอง หน้าตาของเขาแม้จะมีสิริ เพียงดวงจันทน์เต็มดวง ก็จะเป็นเหมือนดอกบัวที่ถูกลนไฟ เหมือนวงแว่นทองคำที่ฝ้าจับย่อมผิดรูป ผิดร่าง ไม่น่าดู เพราะว่า ฝูงสัตว์อาศัยความโกรธ ย่อมจับศัสตราประหารตนเองตาย ดื่มยาพิษตาย ผูกคอตายโดดเขาตาย ครั้นตายด้วยอำนาจความโกรธอย่างนี้แล้ว ก็ย่อมบังเกิดในอบายภูมิมีนรกเป็นต้น
ถึงคนที่ชอบข่มเหงเขาเล่าก็ต้องถูกติเตียนในปัจจุบัน เมื่อแตกกายทำลายขันธ์ก็บังเกิดในนรกเป็นต้น แม้จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ย่อมเป็นคนมีโรคมาก ตั้งแต่เกิดมาทีเดียว บรรดาโรคทั้งหลาย มีโรคตา โรคหูเป็นต้น จะรุมกันทับถมคนประเภทนี้ พวกเขาจะไม่พ้นไปจากโรคร้าย จะเป็นผู้ครองทุกข์อยู่เป็นประจำทีเดียว เพราะฉะนั้น เธอพึงเป็นคนมีจิตเมตตา มีจิตอ่อนโยนในสรรพสัตว์ เพราะบุคคลเช่นนี้ ย่อมรอดพ้นจากภัยมีนรกเป็นต้นก็ได้“ ดังนี้. กุมารนั้นสดับโอวาทของพระศาสดาแล้ว ทิ้งมานะเสียได้ ด้วยพระโอวาทครั้งเดียวเท่านั้น เป็นผู้ฝึกฝนได้ ไร้พยศ เป็นคนมีจิตอ่อนโยนทีเดียว แม้คนอื่นจะด่าจะตี ก็มิได้เหลียวหลังมอง เหมือนงูที่ถูกถอนเขี้ยว เหมือนปูที่ถูกหักก้ามและเหมือนโคผู้ที่ถูกตัดเขาฉะนั้น.
ภิกษุทั้งหลายทราบพฤติการณ์ของกุมารนั้นแล้วจึงยกเรื่องขึ้นสนทนากันในธรรมสภาว่า „ผู้มีอายุทั้งหลาย พระมารดาบิดา พระประยูรญาติและพระสหายเป็นต้น มิอาจฝึกลิจฉวีกุมารผู้ดุร้าย แม้ตลอดเวลาอันยาวนาน แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทรมานเธอด้วยพระโอวาทครั้งเดียวเท่านั้นก็ได้ทรงกระทำเหตุ คือการให้อยู่ในขอบเขตที่เชิดชูกันได้ เหมือนนายควาญช้างทรมานพระยาช้างซับมันให้หมดพยศร้ายฉะนั้น,
ตรงกันกับพระพุทธภาษิตที่ว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ช้างที่ควรฝึกได้ม้าที่ควรฝึกได้ โคที่ควรฝึกได้ อันผู้ฝึกได้ฝึกหัดแล้ว ย่อมวิ่งไปได้ทิศเดียวเท่านั้น คือทิศตะวันออก หรือตะวันตก เหนือหรือใต้ก่อนภิกษุทั้งหลาย ม้าที่ควรฝึกได้ อันผู้ฝึกได้ฝึกหัดแล้ว ฯลฯ โคที่ควรฝึกได้ อันผู้ได้ฝึกหัดแล้ว ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษที่ควรฝึกได้ อันตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าฝึกหัดแล้ว ย่อมแล่นไปได้ทั้งแปดทิศ. ผู้มีรูปย่อมเห็นรูปทั้งหลายได้ ผู้ที่ทรงฝึกแล้วนี้เล่า ก็เป็นเช่นนั้น ฯลฯ ตถาคตนั้น บัณฑิตย่อมกล่าวว่า เป็นผู้ฝึกบุรุษที่ควรฝึกเลิศกว่า อาจารย์ผู้ฝึกทั้งหลายผู้มีอายุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าผู้ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ที่จะเสมอเหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีอย่างแท้จริง.“ (ม.นิ. ๓.๓๑๒)
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ?“ เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้วตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในครั้งนี้เท่านั้น ที่เราฝึกกุมารนี้ได้ ด้วยโอวาทครั้งเดียว แม้ในครั้งก่อน เราก็ได้ฝึกเธอด้วยโอวาทครั้งเดียวเหมือนกัน“ ดังนี้แล้ว ทรงนำเรื่องราวในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลอุทิจจพราหมณ์เจริญวัยแล้ว เล่าเรียนไตรเพทและสรรพศิลปวิทยา ในเมืองตักกสิลา อยู่ครองเรือนสิ้นกาลเล็กน้อย ครั้นมารดาบิดาล่วงลับไป ก็บวชเป็นฤาษี ทำอภิญญาและสมาบัติให้เกิดแล้ว พำนักอยู่ในป่าหิมพานต์ ครั้นอยู่ในป่านั้นนาน ๆ ก็ไปสู่ชนบทเพื่อบริโภคเปรี้ยว ๆ เค็ม ๆ บรรลุถึงพระนครพาราณสี อาศัยอยู่ในพระราชอุทยาน รุ่งเช้านุ่งห่มเรียบร้อยแล้ว สมบูรณ์ด้วยมารยาทของดาบส เข้าสู่พระนครเพื่อภิกษา เดินไปถึงพระลานหลวง.
พระราชากำลังทอดพระเนตรทางช่องพระแกลทรงเห็นท่านแล้วทรงเลื่อมใสในอิริยาบถทรงดำริว่า พระดาบสนี้อินทรีย์งดงาม ใจสงบ ทอดตาต่ำชั่วแอก ประหนึ่งวางถุงทรัพย์ ๑๐๐๐ เหรียญไว้ทุก ๆ ย่างก้าว เดินมาด้วยลีลาองอาจอย่างราชสีห์ หากจะมีสภาวะที่ชื่อว่าสันตธรรมอยู่อย่างหนึ่งละก็สันตธรรมนั้น ต้องมีภายในของดาบสนี้. แล้วทรงทอดพระเนตรดูอำมาตย์ผู้หนึ่ง อำมาตย์ผู้นั้นกราบทูลว่า „ข้าพระองค์จักต้องทำอะไรพระเจ้าข้า“ รับสั่งว่า „เจ้าจงไปนิมนต์พระดาบสนั้นมา“ เขารับพระดำรัสว่า „ดีละ พระเจ้าข้า" เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ไหว้แล้วรับภาชนะใส่ภิกษา จากมือพระโพธิสัตว์ เมื่อพระโพธิสัตว์กล่าวว่า „อะไรหรือท่านผู้มีบุญมาก“ ก็กราบเรียนว่า "ข้าแต่พระคุณท่านผู้เจริญ พระราชารับสั่งนิมนต์พระคุณเจ้า“ พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เ“ราไม่ใช่นักบวชประจำราชสำนัก เป็นนักบวชอยู่ป่าหิมพานต์.“ อำมาตย์ไปกราบทูลความนั้นแด่พระราชาพระราชาตรัสว่า „ดาบสอื่นที่เป็นผู้ใกล้ชิดของเราไม่มีดอก จงนิมนต์ท่านมาเถิด“ อำมาตย์ก็ไปไหว้พระโพธิสัตว์ พูดอ้อนวอนนิมนต์ให้เข้าไปสู่พระราชวัง.
พระราชาถวายบังคมพระโพธิสัตว์อาราธนาให้นั่งเหนือบัลลังก์ทอง ภายใต้เศวตรฉัตร ให้ฉันโภชนะมีรสเลิศต่าง ๆ ที่เขาจัดไว้เพื่อพระองค์แล้วรับสั่งถามว่า „ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระคุณเจ้าอยู่ที่ไหนเจ้าข้า ?“ พระโพธิสัตว์ถวายพระพรว่า „มหาบพิตร อาตมาภาพ อยู่ป่าหิมพานต์“ รับสั่งถามว่า „บัดนี้พระคุณเจ้าจะไปที่ไหน ?“ ถวายพระพรว่า „มหาบพิตร อาตมาภาพกำลังสอดส่องเสนาสนะที่เหมาะแก่ฤดูฝน“ รับสั่งว่า „ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้น นิมนต์อยู่ในอุทยานของพวกโยมเถิดขอรับ“ ทรงถือปฏิญญาแล้ว แม้พระองค์เองก็เสวยเสร็จ ทรงพาพระโพธิสัตว์เสด็จไปสู่อุทยาน รับสั่งให้สร้างบรรณศาลา ให้กระทำที่พักกลางคืนและที่พักกลางวันทรงถวายบริขารสำหรับบรรพชิตทรงมอบหมายให้คนเฝ้าสวนคอยดูแลแล้วเสด็จเข้าพระนคร.
จำเดิมแต่นั้น พระโพธิสัตว์ก็อยู่ในอุทยาน แม้พระราชาก็เสด็จไปหาท่านวันละ สองสามครั้งทุก ๆ วัน. ก็แลพระราชานั้นทรงมีพระโอรส พระนามว่าทุฏฐกุมาร เป็นผู้มีสันดาน ดุร้ายหยาบคาย พระราชาและพระประยูรญาติทั้งหลาย ต่างก็ไม่ สามารถจะฝึกหัดอบรมเธอได้ พวกอำมาตย์ก็ดี พวกพราหมณ์และคฤหบดีก็ดี แม้จะร่วมกันว่า กล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า „ข้าแต่เจ้านายท่านอย่าได้ทำอย่างนี้เลย ท่านไม่น่าจะทำอย่างนี้“ ก็มิสามารถจะให้เธอเชื่อถือถ้อยคำได้.
พระราชาทรงพระดำริว่า „ยกเว้นพระดาบสผู้ทรงศีลผู้เป็นเจ้า ของเราเสียแล้ว คงไม่มีผู้อื่นที่จะชื่อว่าสามารถทรมานกุมารนี้ได้ พระคุณเจ้าเท่านั้น จักทรมานเขาได้“ ท้าวเธอทรงพาพระกุมารไปสำนักพระโพธิสัตว์รับสั่งว่า „พระคุณเจ้าผู้เจริญ กุมารนี้ดุร้าย หยาบคาย พวกข้าพเจ้าไม่สามารถจะอบรมฝึกสอนเธอได้ พระคุณเจ้าโปรด หาอุบายสักอย่างหนึ่งอบรมเธอให้ด้วยเถิด“ ดังนี้แล้ว ทรงมอบพระกุมารแต่พระโพธิสัตว์แล้วเสด็จหลีกไป.
พระโพธิสัตว์จึงชวนพระกุมาร เที่ยวไปในอุทยาน เห็นหน่อต้นสะเดาต้นหนึ่งเพิ่งมีใบสองใบเท่านั้น คือแตกออกข้างละหนึ่งใบ จึงกล่าวกะพระกุมารว่า „กุมาร เธอจงเคี้ยวกินใบของหน่อสะเดานี้แล้วทราบรสไว้เถิด“ พระกุมารทรงเคี้ยวใบสะเดาใบหนึ่ง รู้รสแล้วตรัสว่า "ชิ ! ชิ !“ ถ่มทิ้งที่แผ่นดินพร้อมทั้งเขฬะ เมื่อดาบสกล่าวว่า „เป็นอย่างไรเล่า กุมาร?“ ก็กราบเรียนว่า „ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญต้นไม้นี้เปรียบเสมือนยาพิษชนิดร้ายแรง, ในบัดนี้ทีเดียว ถ้าเจริญเติบโตขึ้น คงฆ่ามนุษย์เสียเป็นอันมาก“ พลางทรงถอนหน่อสะเดานั้นแล้วขยี้จนแหลกด้วยพระหัตถ์ ตรัสคาถานี้ ความว่า :-
„ต้นไม้นี้ มีใบข้างละหนึ่งใบ จากแผ่นดิน ยังไม่ถึง ๔ องคุลี มีรสเสมอกับยาพิษ ต้นไม้นี้ เติบโตขึ้น จักขมสักเพียงไหน ?.“
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอกปณฺโณ ความว่า มีใบที่ข้างทั้งสอง ข้างละใบ. บทว่า น ภูมิยา จตุรงฺคุโล ความว่า (ต้นไม้นี้) ยังไม่ออกจากแผ่นดินถึง ๔ องคุลีเลย. บทว่า ผเลน ได้แก่ รสอันเกิดจากผล. บทว่า วิสกปฺเปน ได้แก่ มีผลคล้ายยาพิษอย่างแรง อธิบายว่า แม้จะต้นเล็กอย่างนี้ ก็ประกอบด้วยใบมีรสขมเห็นปานนี้. บทว่า มหายํ กึ ภวิสฺสติ ความว่า แม้นว่า ต้นไม้นี้ จักถึงความเจริญ คือเติบโตขึ้นเมื่อใด เมื่อนั้นจักเป็นอย่างไร มันต้องฆ่ามนุษย์ได้เป็นแน่ พระกุมารตรัสว่า ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้เราต้องถอนนั้น ขยี้ทิ้งเสีย.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงกล่าวคำนี้กะพระกุมารว่า „กุมารเอ๋ย เธอกล่าวถึงหน่อสะเดานี้ว่า „เดี๋ยวนี้เอง มันยังขมถึงเพียงนี้ เมื่อมันโตจักเป็นอย่างไร อาศัยมันแล้ว จะมีความเจริญมาแต่ไหน ?“ ดังนี้แล้ว ถอนขยี้ทิ้งไป, เธอปฏิบัติในหน่อสะเดานี้ ฉันใดเล่า, แม้ชาวแว่นแคว้นของเธอ ก็คงฉันนั้น จักพากันกล่าวว่า „พระกุมารนี้ยังเป็นเด็กอยู่ทีเดียว ยังดุร้าย หยาบคายอย่างนี้ เมื่อเจริญเติบโตครองราชสมบัติ จักทำอย่างไรกันเล่า! ที่ไหนพวกเราจักอาศัยเธอ พากันจำเริญได้“ แล้วไม่ยอมถวายราชสมบัติ อันเป็นของแห่งตระกูลของเธอ จักถอดถอนเธอเสียเหมือนหน่อสะเดาแล้วทำการขับไล่ออกไปเสียจากแว่นแคว้นเพราะฉะนั้น,
เธอจงละเว้นความเป็นผู้ตนเปรียบเหมือนต้นสะเดาเสีย จงถึงพร้อมด้วยความอดทน ความเมตตาและความเอื้อเฟื้อตั้งแต่บัดนี้ไปเถิด“. จำเดิมแต่นั้น พระกุมารก็หมดมานะ หมดพยศสมบูรณ์ด้วยความอดทน ความเมตตาและความเอื้อเฟื้อ ดำรงอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ ครั้นพระชนกล่วงลับไปแล้วก็ได้ครองราชสมบัติทรงบำเพ็ญบุญมีให้ทานเป็นต้นแล้วเสด็จไปตามยถากรรม.
พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสย้ำว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่เราทรมานลิจฉวีกุมารผู้ชั่วร้ายได้ แม้ในครั้งก่อนเราก็เคยทรมานเธอแล้วเหมือนกันดังนี้แล้ว ทรงประชุมชาดกว่า ทุฏฐกุมารในครั้งนั้นได้มาเป็นลิจฉวีกุมารนี้ พระราชาได้มาเป็นอานนท์ ส่วนดาบสผู้ให้โอวาทได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล. จบอรรถกถาเอกปัณณชาดกที่ ๙
ที่มา : Palipage: Guide to Language - Pali
0 comments: