[ณ วิหารเชตวัน พระพุทธเจ้าบอกราหุลให้ถือผ้ารองนั่งแล้วตามเข้าไปในป่าอันธวัน เพื่อพักผ่อนตอนกลางวัน ซึ่งก็มีเทวดาหลายองค์ตามเข้าไปด้วย เพราะรู้ว่าวันนี้พระพุทธเจ้าจะสอนธรรมะแก่ราหุลให้หมดกิเลส]
พ: ราหุล เธอคิดว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั้นเที่ยงหรือไม่เที่ยง ? ร: ไม่เที่ยง.
พ: ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือสุข? ร: เป็นทุกข์.
พ: ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ บังคับไม่ได้ เปลี่ยนแปลงตลอด ควรหรือที่จะเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นของเรา เป็นตัวเรา. ร: ไม่ควรเลย.
พ: ราหุล เธอคิดว่าการรับรู้ ความรู้สึก การคิดปรุงแต่งผ่านสัมผัสต่างๆทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั้น เที่ยงหรือไม่เที่ยง ? ร: ไม่เที่ยง
พ: ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือสุข ? ร: เป็นทุกข์.
พ: ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ บังคับไม่ได้ เปลี่ยนแปลงตลอด ควรหรือที่จะเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นของเรา เป็นตัวเรา. ร: ไม่ควรเลย
พ: ราหุล ผู้ที่เห็นความจริงอย่างนี้ย่อมเบื่อหน่ายสิ่งเหล่านั้น เมื่อเบื่อหน่ายย่อมไม่รู้สึกอยาก เมื่อไม่รู้สึกอยากย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นย่อมไม่เกิดอีก
[เมื่อฟังแล้ว พระราหุลก็หมดกิเลสเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น เทวดาหลายพันองค์ที่ฟังอยู่ก็เห็นความจริงว่า เมื่อมีเกิด ก็มีดับ เป็นธรรมดา]
ที่มา: เรียบเรียงจากพระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ 23 (พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ ภาค 3 เล่ม 2 จูฬราหุโลวาทสูตร), 2559, น.448-453
0 comments: