“ธรรมของสัตบุรุษกับธรรมของอสัตบุรุษ นักปราชญ์กล่าวว่าไกลกัน ยิ่งกว่าท้องฟ้ากับพื้นปฐพี”
เพราะว่า ธรรมของอสัตบุรุษทั้งหลายเช่น ความหลอกลวง ความกระด้าง ความเป็นคนประจบ ความชอบวางท่า ความอวดดี และความมีจิตไม่ตั้งมั่น ย่อมเป็นเหตุให้ไม่เจริญงอกงามในพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ส่วนธรรมของสัตบุรุษทั้งหลายเช่น ความไม่หลอกลวง ความไม่กระด้าง ความไม่เป็นคนประจบ ความไม่ชอบวางท่า ความไม่อวดดี และความมีจิตตั้งมั่น ย่อมเป็นเหตุให้เจริญงอกงามในพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังพระพุทธพจน์ว่า
กุหา ถทฺธา ลปา สิงฺคี อุนฺนฬา อสมาหิตา
น เต ธมฺเม วิรูหนฺติ สมฺมาสมฺพุทฺธเทสิเต ฯ
แปลว่า “พวกภิกษุผู้หลอกลวง กระด้าง เป็นคนประจบ ชอบวางท่า อวดดี และมีจิตไม่ตั้งมั่น ย่อมไม่งอกงามในธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้”
นิกฺกุหา นิลฺลปา ธีรา อถทฺธา สุสมาหิตา
เต เว ธมฺเม วิรูหนฺติ สมฺมาสมฺพุทฺธเทสิเตติ ฯ
แปลว่า “ส่วนพวกภิกษุผู้ไม่หลอกลวง ไม่ประจบ เป็นนักปราชญ์ ไม่กระด้าง และมีจิตตั้งมั่นดี ย่อมงอกงาม ในธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว ดังนี้”
ในพระคาถาทั้งสองนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า “ถึงแม้ว่า ภิกษุเหล่านั้นบวชแล้วในศาสนาของเราตถาคต แต่เพราะไม่ปฏิบัติตามที่เราตถาคตสอน จึงเท่ากับไปแล้วจากพระธรรมวินัยนี้นั่นเอง คือ ภิกษุเหล่านั้นชื่อว่าอยู่ไกลแสนไกลจากศาสนานี้
สมจริงดังที่ตรัสคำนี้ไว้ว่า
“ท้องฟ้ากับพื้นปฐพี นักปราชญ์กล่าวว่าอยู่ไกลกัน และฝั่งมหาสมุทร (ทั้ง ๒ ฝั่ง) นักปราชญ์ก็กล่าวว่าอยู่ไกลกัน ข้าแต่พระราชา แต่ธรรมของสัตบุรุษกับของอสัตบุรุษนักปราชญ์กล่าวว่าไกลกันยิ่งกว่านั้นเสียอีก” ดังนี้.
สาระธรรมจากกุหสูตร, พระมหาวัชระ เชยรัมย์ (ติกฺขญาโณ), 26/8/64
0 comments: