วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2564

วิโรจชาตกํ - ว่าด้วยผู้ถูกเยาะเย้ย

วิโรจชาตกํ - ว่าด้วยผู้ถูกเยาะเย้ย

"ลสี  จ  เต  นิปฺผลิตา,   มตฺถโก  จ  ปทาลิโต;   สพฺพา เต ผาสุกา ภคฺคา, อชฺช โข ตฺวํ วิโรจสีติ ฯ   มันสมองของท่านไหลออกแล้ว กระหม่อมของท่านก็ถูกทำลายแล้ว ซี่โครงของท่านหักพังไปสิ้นแล้ว วันนี้ ท่านย่อมรุ่งเรืองแท้."

อรรถกถาวิโรจนชาดกที่ ๓

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารชื่อว่าเวฬุวันทรงปรารภความที่พระเทวทัตแสดงท่าทางอย่างพระสุคต อยู่ในคยาสีสประเทศ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า  ลสี  จ  เต  นิปฺผลิตา  ดังนี้.

ความพิสดารว่า พระเทวทัตมีฌาณเสื่อมแล้ว ก็พลอยเสื่อมจากลาภสักการะไปด้วยคิดว่า ยังมีอุบายอยู่อย่างหนึ่ง ดังนี้แล้ว กราบทูลขอวัตถุ ๕ ประการกะพระศาสดาเมื่อไม่ได้ก็ชวนภิกษุ ๕๐๐ รูป ผู้เป็นสัทธิวิหาริกของพระอัครสาวกทั้งสอง ซึ่งบวชได้ไม่นาน ยังไม่ฉลาดในพระธรรมวินัย ไปสู่คยาสีสประเทศแยกหมู่กระทำสังฆกรรม แผนกหนึ่งในสีมาเดียวกัน.

พระศาสดาทรงทราบเวลาที่ความรู้ของภิกษุเหล่านั้นแก่กล้าทรงส่งพระอัครสาวกทั้งสองไป พระเทวทัตเห็นพระอัครสาวกทั้งสองแล้ว ดีใจ คิดว่า „เมื่อเราแสดงธรรมตลอดคืน จักทำทีท่าอย่างพระพุทธเจ้า“ ดังนี้แล้ว เมื่อจะแสดงท่าทางอย่างพระสุคต จึงกล่าวว่า „ท่านสารีบุตร ภิกษุสงฆ์ยังไม่ง่วงเหงาหาวนอน ธรรมิกถาจงอาศัยท่านแจ่มกระจ่างแก่ภิกษุทั้งหลายเถิด เราเมื่อยหลังนักจักขอเหยียดหลังสักหน่อย“ แล้วเข้านอน.

พระอัครสาวกทั้งสองแสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้นให้ตื่นทั่วกันด้วยมรรคผลทั้งหลายแล้วพากันกลับมาสู่พระเวฬุวันวิหารทั้งหมดทีเดียว พระโกกาลิกะเห็นวิหารว่าง จึงไปสู่สำนักพระเทวทัตพูดว่า „ท่านเทวทัต อัครสาวกทั้งสองของท่านทำลายบริษัทของท่านเสียแล้ว ไปกันหมดจนวิหารว่าง ส่วนท่านยังมัวนอนหลับอยู่อีก“ แล้วกระตุกผ้าห่มพระเทวทัตออก เอาส้นกระทืบลงไปที่ตรงหัวใจ เหมือนตอกตะปูที่ฝาเรือน ทันใดนั้นเองเลือดก็ทะลักออกจากปากของพระเทวทัต ต่อจากนั้น พระเทวทัตก็เป็นไข้.

พระศาสดาตรัสถามพระเถระว่า สารีบุตร เวลาที่เธอพากันไป เทวทัต ทำอะไร ?  พระเถระเจ้ากราบทูลว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเทวทัต เห็นข้าพระองค์ทั้งสองแล้ว คิดจักกระทำลีลาอย่างพระองค์เมื่อแสดงท่าทางอย่างพระสุคตเลยถึงความพินาศใหญ่หลวง“  พระศาสดาตรัสว่า „ก่อนสารีบุตร มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่เทวทัตทำตามอย่างเราแล้วถึงความพินาศ แม้ในครั้งก่อนก็เคยถึงความพินาศมาแล้วเหมือนกัน" พระเถระเจ้ากราบทูลอาราธนาจึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี  พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นไกรษรสีหราชอาศัยอยู่ในถ้ำทอง ในประเทศหิมพานต์ วันหนึ่งออกจากถ้ำทองสะบัดกาย มองดูทิศทั้งสี่ บรรลือสีหนาทแล้วเหยาะย่างออกหาอาหาร ฆ่ากระบือใหญ่กินเนื้อแล้ว ลงสู่สระดื่มน้ำมีสีเหมือนแก้วมณีเต็มท้องแล้ว มุ่งเดินไปสู่ถ้ำ

ครั้งนั้น สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งเที่ยวขวนขวายหาเหยื่อ เผชิญหน้ากับราชสีห์เข้าทันที ไม่อาจจะหลีกหนีได้ทัน ก็เลยนอนหมอบลงแทบเท้า เบื้องหน้าราชสีห์เมื่อราชสีห์ทักว่า „อะไรหรือ เจ้าจิ้งจอก ?" ก็บอกว่า „ข้าแต่นายข้าพเจ้ามาหมายจะรับใช้ท่าน“ ราชสีห์กล่าวว่า „ดีแล้วมาเถิด จงรับใช้เราเถิด เราจักให้เจ้าได้กินเนื้อดี ๆ“ แล้วพาสุนัขจิ้งจอกไปสู่ถ้ำทอง จำเดิมแต่นั้นมา สุนัขจิ้งจอกก็กินเดนราชสีห์ ล่วงมาได้สองสามวัน ก็มีร่างกายอ้วนพี.

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง ราชสีห์นอนอยู่ในถ้ำ บอกมันว่า „ไปซี เจ้าจิ้งจอก เจ้าขึ้นไปยืนบนยอดเขา อยากจะกินเนื้อของสัตว์ใด ในบรรดาช้าง ม้า กระบือเป็นต้น ที่ท่องเที่ยวอยู่ที่เชิงเขา จงมองหาสัตว์นั้นแล้วมาบอกเราว่า „ข้าพเจ้าอยากกินเนื้อสัตว์อย่างโน้น“ แล้วจงบอกว่า „นายท่านจงแผดเสียงเถิด" ดังนี้แล้ว เราจักฆ่าสัตว์นั้น กินเนื้ออร่อย ๆ แล้วแบ่งให้เจ้าบ้าง

สุนัขจิ้งจอกจึงขึ้นไปสู่ยอดเขา มองดูฝูงมฤคนานาชนิด ครั้นนึกอยากกินเนื้อของสัตว์ชนิดใด ก็เข้าไปสู่ถ้ำทองบอกสัตว์นั้นแก่ราชสีห์แล้วหมอบลงแทบเท้ากล่าวว่า „นายขอรับ เชิญท่านแผดเสียงเถิด“ ราชสีห์วิ่งไปโดยเร็ว ถ้าแม้เป็นช้างตกมันก็ฆ่าให้ตายตรงนั้น ตนเองกินเนื้อดี ๆ บ้าง ให้สุนัขจิ้งจอกบ้างสุนัขจิ้งจอกกินเนื้อจนอิ่มท้องแล้ว เข้าถ้ำนอนหลับ.

ครั้นเวลาล่วงนานผ่านไป สุนัขจิ้งจอก ก็ชักกำเริบเกิด มานะว่า „แม้ตัวเราก็เป็นสัตว์ ๔ เท้าเหมือนกัน เหตุไรจะต้องให้ผู้อื่นเขาช่วยเลี้ยงอยู่ทุก ๆวันเล่า“ นับแต่นี้ไป เราจักฆ่าช้างเป็นต้นกินเนื้อ แม้แต่ราชสีห์ผู้เป็นมฤคราช อาศัยข้อที่เรากล่าวว่า "นายขอรับ เชิญท่านแผดเสียงเถิด“ ดังนี้เท่านั้น ก็ฆ่าช้างทั้งหลายได้, เราต้องให้ราชสีห์พูดกะเราบ้างว่า จิ้งจอกเอ๋ย เชิญแผดเสียงเถิด“ ดังนี้ ก็จักฆ่าช้างตัวหนึ่งกินเนื้อได้“

มันเข้าไปหาราชสีห์แล้วกล่าวดังนี้ว่า „นายขอรับข้าพเจ้ากินเนื้อช้างพลายที่ท่านฆ่าตายมานานแล้ว ข้าพเจ้าก็อยากจะฆ่าช้างตัวหนึ่งกินเนื้อมันบ้าง เหตุนั้น ข้าพเจ้าต้องขอนอนในถ้ำทอง บนที่ที่ท่านนอน, ท่านช่วยดูช้างพลายที่ท่องเที่ยว ณ เชิงเขาแล้วมาสู่สำนักข้าพเจ้า บอกว่า „จิ้งจอกเอ๋ย เชิญแผดเสียงเถิด" ขอเพียงเท่านี้แหละท่านอย่าได้หวงแหนเลย.  ครั้งนั้น ราชสีห์บอกมันว่า "จิ้งจอกเอ๋ย เจ้าไม่สามารถจะฆ่าช้างได้ดอกขึ้นชื่อว่าหมาจิ้งจอกที่ บังเกิดในสกุลสีหะ สามารถฆ่าช้างกินเนื้อได้ไม่มีเลยในโลก, เจ้าอย่าชอบใจอย่างนี้เลย อยู่คอยกินเนื้อช้างที่เราฆ่าแล้วไปถ่ายเดียวเถิด“

ถึงแม้ราชสีห์จะกล่าวชี้แจงอย่างนี้ มันก็ไม่ล้มความตั้งใจ คงเซ้าซี้อยู่นั่นเอง ราชสีห์เมื่อไม่อาจห้ามมันได้ ก็รับคำกล่าวว่า „ถ้าเช่นนั้น เจ้าจงไปที่อยู่ของเรานอนคอยเถิด“ ให้จิ้งจอกนอนในถ้ำทอง ตนเองคอยดูช้างซับมันอยู่ที่เชิงเขาแล้วไปที่ประตูถ้ำบอกว่า „จิ้งจอกเอ๋ย เชิญแผดเสียงเถิด"

สุนัขจิ้งจอก ออกจากถ้ำทอง สะบัดกาย มองสี่ทิศ หอน ๓ คาบ คิดว่า „เราต้องกระโดดลงตรงกระพองช้างซับมัน“ พลาดไปตกที่ใกล้เท้าช้าง ช้างยกเท้าขวาขึ้นเหยียบหัวมัน กระโหลกศีรษะแตกแหลกเป็นจุณ ทีนั้นช้างก็เอาเท้าคลึงร่างของมันทำเป็นกองไว้ขี้รดข้างบนแล้ว ร้องก้องโกญจนาทเข้าป่าไป

พระโพธิสัตว์เห็นความเป็นไปนี้กล่าวว่า „จิ้งจอกเอ๋ย คราวนี้ เชิญเจ้าแผดเสียงไปเถิด„ ดังนี้แล้ว กล่าวคาถานี้ว่า :-

„มันสมองของเจ้าไหลออกแล้ว กระหม่อมของเจ้าก็ถูกทำลายแล้ว ซี่โครงของเจ้า หักพังไปหมดแล้ว วันนี้เจ้าช่างรุ่งเรืองแท้.“

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า  ลสิ  แปลว่า มันสมอง.  บทว่า  นิปฺผลิตา  แปลว่า ไหลออกแล้ว.

พระโพธิสัตว์กล่าวคาถานี้แล้ว ดำรงอยู่ตลอดอายุแล้วไปตามยถากรรม.

พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประชุมชาดกว่า หมาจิ้งจอกในครั้งนั้นได้มาเป็นเทวทัต ส่วนราชสีห์ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.  จบอรรถกถาวิโรจนชาดกที่ ๓

ที่มา : Palipage: Guide to Language - Pali


Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: