วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2564

จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๒)

จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๒)

จักกวัตติสูตร (ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๑๑ ข้อ ๓๓ - ๕๐) นี้ พระพุทธองค์ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายที่เมืองมาตุลา แคว้นมคธ 

น่าศึกษาสืบค้นว่า เมืองนี้อยู่ตรงจุดไหนในปัจจุบัน

ผมเคยเสนอแนวคิดเปิดการศึกษาภูมิศาสตร์พุทธศาสนา คนไทยไปแสวงบุญที่อินเดียกันเสมอ ที่ไปเรียนก็มาก น่าจะมีใครที่มีกำลังทำโครงการ “ศึกษาภูมิศาสตร์พุทธศาสนา” คือไปอินเดียเพื่อไปสืบค้นว่าสถานที่ซึ่งมีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎก-เช่นเมืองมาตุลาเป็นต้น-นั้น ปัจจุบันอยู่ตรงไหน  หรือถ้าจะให้ได้ผลดี ก็ขอความร่วมมือกับหน่วยงานทางภูมิศาสตร์-โบราณคดีของอินเดีย ขอข้อมูลที่เขามีอยู่ หรือศึกษาหาขอมูลใหม่ร่วมกัน 

คิดไปคิดมา ก็ต้องมาลงที่คณะสงฆ์ไทย ถ้าคณะสงฆ์ไทยคิดเรื่องนี้ ทำเรื่องนี้ ผมว่าไปได้โลด  ลองคิดดู เอกชนไปเที่ยวอินเดีย กลับมาเขียนเล่าเรื่องเมืองนั้นเมืองโน้นเป็นสารคดี อ่านสนุก ได้ความรู้ เขายังทำกันเยอะไป 

คณะสงฆ์ตั้งคณะทำงานเรื่องนี้อย่างเป็นการเป็นงาน ทำได้ดีกว่าแน่ๆ คณะสงฆ์ไทยมีกำลังอยู่ในมือมากพอ ทั้งกำลังคนและกำลังทรัพย์ หาทุนสนับสนุนเพิ่มเติมพระเราถนัดอยู่แล้ว ทำไมจะทำไม่ได้  ถ้าคณะสงฆ์คิดทำ โลกจะต้องอนุโมทนาชื่นชมยินดี

เชิญกลุ่มที่มีแนวคิด-พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้ที่อินเดีย-มาร่วมงานด้วยก็ยังได้ ถ้าบุคคลกลุ่มนี้มีข้อมูลถึงขนาดรู้ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้ที่อินเดีย ก็น่าจะมีหลักฐานรู้ได้ด้วยว่าเมืองต่างๆ ที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกอยู่ที่ไหนกันบ้าง เพราะเมืองต่างๆ ในพุทธประวัติหรือในพระไตรปิฎกจะต้องสัมพันธ์สอดคล้องกันโดยตลอด.  แค่ชื่อเมือง “มาตุลา” คำเดียวคิดไปได้ยาวไกล

กลับมาที่จักกวัตติสูตรกันต่อครับ

พระสูตรนี้เริ่มด้วยตรัสสอนภิกษุให้มีตนเป็นที่พึ่ง ให้มีธรรมเป็นที่พึ่ง  แล้วตรัสเล่าถึงพระเจ้าจักรพรรดิทรงพระนามว่า ทัฬหเนมิ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คฤหบดีแก้ว ปริณายกแก้ว

เรื่องแก้ว ๗ ประการนี้น่าศึกษา  ต้นฉบับในพระสูตรระบุว่า 

ตสฺสิมานิ  สตฺต  รตนานิ  อเหสุํ  เสยฺยถีทํ  จกฺกรตนํ  หตฺถิรตนํ  อสฺสรตนํ  มณิรตนํ  อิตฺถีรตนํ  คหปติรตนํ  ปริณายกรตนเมว  สตฺตมํ. 

พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน ที่ท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ เป็นผู้จัดทำ ตอนย่อเรื่องในจักกวัตติสูตร บอกไว้ว่า รัตนะ ๗ ประการของพระเจ้าจักรพรรดิประกอบด้วย -   ๑. จักร (ลูกล้อรถ) แก้ว (จักกรัตนะ)  ๒. ช้างแก้ว (หัตถิรัตนะ)  ๓. ม้าแก้ว (อัสสรัตนะ)  ๔. แก้วมณี (มณีรัตนะ)  ๕. นางแก้ว (อิตถีรัตนะ)  ๖. ขุนคลังแก้ว (คฤหปติรัตนะ)  ๗. ขุนพลแก้ว (ปริณายกรัตนะ)

ผมเอ่ยถึง-พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน ก็เพื่อให้ญาติมิตรที่อ่านเกิดแรงบันดาลใจ อย่างน้อยๆ ก็จะได้รู้ว่า มีแหล่งสำหรับศึกษาพระไตรปิฎกอยู่ที่ไหนบ้าง

อรรถกถาบรรยายคุณสมบัติย่อๆ ของรัตนะแต่ละอย่างไว้ ขอยกมาเสนอในที่นี้ พร้อมคำบาลีกำกับไว้ด้วยเพื่อประโยชน์แก่นักเรียนบาลี

(๑) ทฺวิสหสฺสทีปปริวารานํ  จตุนฺนํ  มหาทีปานํ  สิริวิภวํ  คเหตฺวา  ทาตุํ  สมตฺถํ  จกฺกรตนํ.   จักรแก้วสามารถยึดสิริสมบัติของทวีปใหญ่ทั้ง ๔ มีทวีปน้อย ๒,๐๐๐ เป็นบริวารได้ 

(๒) ตถา  ปุเรภตฺตเมว  สาครปริยนฺตํ  ปฐวึ  อนุปริยายนสมตฺถํ  เวหาสงฺคมํ  หตฺถิรตนํ.   ช้างแก้วเหาะไปบนเวหาสามารถแล่นไปรอบแผ่นดินมีสาครเป็นที่สุด (แล้วกลับมาที่เดิมได้) ก่อนเวลาอาหารทีเดียว

(๓) ตาทิสเมว  อสฺสรตนํ.   ม้าแก้วก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน

(๔) จตุรงฺคสมนฺนาคเต  อนฺธกาเร  โยชนปฺปมาณํ  อนฺธการํ  วิธมิตฺวา  อาโลกทสฺสนสมตฺถํ  มณิรตนํ.  ในความมืดประกอบด้วยองค์ ๔ แก้วมณีสามารถกำจัดความมืดทำให้เห็นแสงสว่างได้เป็นบริเวณประมาณโยชน์หนึ่ง

(๕) ฉพฺพิธโทสวิวชฺชิตํ  มนาปจาริ  อิตฺถีรตนํ.   นางแก้วมีความประพฤติเป็นที่พอใจ เว้นโทษ ๖ อย่าง

(๖) โยชนปฺปมาเณ  อนฺโตปฐวีคตนิธึ  ทสฺสนสมตฺถํ  คหปติรตนํ.  คหบดีแก้วสามารถเห็นขุมทรัพย์ที่อยู่ภายในแผ่นดินประมาณโยชน์หนึ่งได้

(๗) อคฺคมเหสิยา  กุจฺฉิมฺหิ  นิพฺพตฺติตฺวา  สกลรชฺชมนุสาสนสมตฺถํ  เชฏฺฐปุตฺตสงฺขาตํ  ปริณายกรตนํ.   ปริณายกแก้ว หมายถึงพระราชโอรสองค์ใหญ่ประสูติแต่พระอัครมเหสี สามารถครองราชสมบัติได้ทั้งหมด

ที่มาคำบาลี: สุมังคลวิลาสินี ภาค ๒ หน้า ๖๔ (มหาปทานสุตฺตวณฺณนา)

ขออนุญาตเชิญชวนญาติมิตร-โดยเฉพาะนักเรียนบาลีทั้งหลาย-ช่วยทำการบ้าน ๒ ข้อ นั่นก็คือ -  ๑ ความมืดประกอบด้วยองค์ ๔ (รัตนะข้อ ๔)  องค์ ๔ คืออะไรบ้าง  

๒ นางแก้วมีความประพฤติเป็นที่พอใจ เว้นโทษ ๖ อย่าง (รัตนะข้อ ๕)  โทษ ๖ อย่าง คืออะไรบ้าง

เป็นการฝึกการอ่าน ฝึกการค้นคว้า อุปมาเหมือนชาวครัวช่วยกันทำอาหาร ช่วยกันหาเครื่องแกง ช่วยกันหั่นผัก ขูดมะพร้าว ปอกหอมกระเทียม โขลกน้ำพริก ฯลฯ

ทำเสร็จแล้ว กินด้วยกัน ช่วยกันทำ ช่วยกันกิน  ถือคติ -  ถ้ากำลังวังชายังไม่สิ้น  เราจะไม่นั่งรอกินท่าเดียว

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๔

๑๕:๐๕

จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๑) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๒) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๓) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๔) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๕) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๖) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๗) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๘) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๙) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๐) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๑) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๒) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๓) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๔) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๕) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๖) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๗) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๘) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๙) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๒๐)







Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: