วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2564

สุวณฺณหํสชาตกํ - โลภมากลาภหาย


สุวณฺณหํสชาตกํ - โลภมากลาภหาย

"ยํ  ลทฺธํ  เตน  ตุฏฺฐพฺพํ,    อติโลโภ  หิ  ปาปโก;    หํสราชํ  คเหตฺวาน,  สุวณฺณา  ปริหายถาติ ฯ   บุคคลได้สิ่งใด ควรยินดีด้วยสิ่งนั้น เพราะความโลภเกินประมาณเป็นความลามก นางพราหมณีจับพระยาหงส์ได้แล้ว ก็เสื่อมจากทองคำ."

อรรถกถาสุวรรณหังสชาดกที่ ๖

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรงปรารภภิกษุณี ชื่อ ถูลนันทา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า  ยํ  ลทฺธํ  เตน  ตุฏฐพฺพํ  ดังนี้.

ความพิสดารว่า อุบาสกคนหนึ่งในพระนครสาวัตถีปวารณากระเทียมกับภิกษณีสงฆ์ไว้และสั่งเสียคนเฝ้าไร่ไว้ด้วยว่า „ถ้าภิกษุณีทั้งหลายพากันมาเอา จงให้ไปรูปละ ๒-๓ ห่อ.“  จำเดิมแต่นั้นภิกษุณีทั้งหลายต้องการกระเทียม ก็พากันไปที่บ้านของเขาบ้าง ที่ไร่ของเขาบ้าง

ครั้นถึงวันมหรสพวันหนึ่ง กระเทียมในเรือนของเขาหมด ภิกษุณีถูลนันทาพร้อมด้วยบริวาร พากันไปที่เรือนแล้วกล่าวว่า „ผู้มีอายุ ฉันต้องการกระเทียม“  คนรักษากล่าวว่า  „กระเทียมไม่มีเลยพระแม่เจ้า กระเทียมที่เก็บตุนไว้หมดเสียแล้ว นิมนต์ไปที่ไร่เถิดขอรับ“  จึงพากันไปที่ไร่ ขนกระเทียมไปอย่างไม่รู้ประมาณ.  คนเฝ้าไร่จึงกล่าวโทษว่า  „เป็นอย่างไรนะ พวกภิกษุณีจึงขนกระเทียมไป อย่างไม่รู้จักประมาณ“.  พวกภิกษุณีที่มีความปรารถนาน้อย ฟังคำของเขาแล้ว พากันยกโทษ, พวกภิกษุเล่า ครั้นได้ยินจากภิกษุณีเหล่านั้นก็พากันยกโทษ.

ครั้นแล้วก็กราบทูลความนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสตำหนิภิกษุณีถูลนันทาแล้วทรงแสดงธรรมที่เหมาะกับเรื่องนั้นแก่นางภิกษุณีทั้งหลาย โดยนัยมีอาทิว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าบุคคลผู้มีความปรารถนาใหญ่ มิได้เป็นที่รัก เจริญใจ แม้แก่มารดาบังเกิดเกล้า ไม่อาจจะยังผู้ไม่เลื่อมใสให้เลื่อมใส ไม่อาจจะยังผู้ที่เลื่อมใสแล้วให้เลื่อมใสยิ่งขึ้น ไม่อาจยังลาภที่ยังไม่เกิดให้บังเกิด หรือลาภที่เกิดแล้วก็ไม่อาจกระทำให้ยั่งยืนได้ ตรงกันข้าม ผู้ที่มีความปรารถนาน้อย ย่อมอาจยังลาภที่ยังไม่เกิดให้เกิด ที่เกิดแล้วก็ทำให้ยั่งยืนได้“  แล้วตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่ภิกษุณีถูลนันทา มีความปรารถนาใหญ่ แม้ในครั้งก่อนก็เคยมีความปรารถนาใหญ่เหมือนกัน“ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีต มาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี   พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์สกุล หนึ่ง เมื่อเจริญวัยแล้ว มารดาบิดาได้ตบแต่งให้มีภรรยา มีชาติเชื้อพอสมควรกันได้มีธิดา ๓ คน ชื่อ นันทา นันทวดีและสุนันทา

ครั้นธิดาเหล่านั้นได้สามีไปแล้วทุกคน พระโพธิสัตว์ก็ทำกาละไปเกิดในกำเนิดหงส์ทองและมีญาณระลึกชาติได้อีกด้วยหงส์ทองนั้นเติบใหญ่แล้ว เห็นอัตภาพ อันเติบโตสมบูรณ์งดงามเต็มไปด้วยขนที่เป็นทอง ก็นึกว่า „เราจุติจากไหนหนอจึงมาบังเกิดในที่นี้ ทราบว่า จากมนุษยโลก“,  พิจารณาอีกว่า  „พราหมณีและเหล่าธิดาของเรา ยังมีชีวิตอยู่หรืออย่างไร“  ก็ได้ทราบว่า ต้องพากันไปรับจ้างคนอื่น เลี้ยงชีพด้วยความแร้นแค้นจึงคิดว่า ขนทั้งหลายในสรีระของเราเป็นทองทั้งนั้น ทนต่อการตีการเคาะ เราจักให้ขนจากสรีระนี้แก่นางเหล่านั้นครั้งละหนึ่งขนด้วยเหตุนั้น ภรรยาและธิดาทั้ง ๓ ของเรา จักพากันอยู่อย่างสุขสบาย“

พระยาหงส์ทองจึงบินไป ณ ที่นั้น เกาะที่ท้ายกระเดื่องพราหมณีและธิดาเห็นพระโพธิสัตว์แล้ว ก็พากันถามว่า  „พ่อคุณมาจากไหนเล่า ?“  หงส์ทองตอบว่า  „เราเป็นบิดาของพวกเจ้าตายไปเกิดเป็นหงส์ทอง มาเพื่อจะพบพวกเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ไปพวกเจ้าไม่ต้องไปรับจ้างคนอื่นเขาเลี้ยงชีวิตอย่างลำบากอีกละเราจักให้ขนแก่พวกเจ้าครั้งละหนึ่งขน จงเอาไปขายเลี้ยงชีวิต ตามสบายเถิด“  แล้วก็สลัดขนไว้ให้เส้นหนึ่งบินไป.  หงส์ทองนั้นมาเป็นระยะ ๆ สลัดขนให้ครั้งละหนึ่งขน โดยทำนองพราหมณีและลูก ๆค่อยมั่งคั่งขึ้น มีความสุขไปตาม ๆ กัน.

อยู่มาวันหนึ่ง พราหมณีปรึกษากับลูก ๆ ว่า „แม่หนูทั้งหลายขึ้นชื่อว่าดิรัจฉานรู้ใจได้ยาก ในบางครั้งบิดาของเจ้าไม่มาที่นี่ พวกเราจักทำอย่างไรกัน คราวนี้เวลาเขามา พวกเราช่วยกันจับถอนขนเสียให้หมดเถิดนะ“ พวกลูกสาวพากันพูดว่า „ทำอย่างนั้นบิดาของพวกเรา จักลำบาก“ ต่างก็ไม่เห็นด้วยแต่นางพราหมณีเพราะมีความปรารถนาใหญ่.  ครั้นวันหนึ่งเวลาพระยาหงส์ทองมา ก็พูดว่า „มานี่ก่อนเถิดนายจ๋า“ พอพระยาหงส์ทองนั้นเข้าไปใกล้ ก็จับไว้ด้วยมือทั้งสอง ถอนขนเสียหมด แต่เพราะจับถอนเอาด้วยพลการ พระโพธิสัตว์มิได้ให้โดยสมัครใจ ขนเหล่านั้นจึงเป็นเหมือนขนนกยางไปหมด

พระโพธิสัตว์ไม่สามารถจะกางปีกบินไปได้ นางพราหมณีจึงจับเอาพระยาหงส์ทองใส่ตุ่มใหญ่เลี้ยงไว้ ขนที่งอกขึ้นใหม่ของพระยาหงส์นั้น กลายเป็นขาวไปหมดพระยาหงส์นั้น ครั้นขนขึ้นเต็มที่แล้ว ก็โดดขึ้นบินไปที่อยู่ของตนทันทีแล้วก็ไม่ได้มาอีกเลย.

พระศาสดาทรงนำเอาเรื่องในอดีตนี้มาสาธกแล้วตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ถูลนันทามีความปรารถนาใหญ่ แม้ในครั้งก่อนก็มีความปรารถนาใหญ่เหมือนกันและเพราะมีความปรารถนาใหญ่ จึงต้องเสื่อมจากทอง บัดนี้เล่าเพราะเหตุที่ตนมีความปรารถนาใหญ่นั่นแหละ จักต้องเสื่อมแม้แต่กระเทียม เพราะฉะนั้น ตั้งแต่บัดนี้ จักไม่ได้เพื่อจะฉันกระเทียม แม้นางภิกษุณีที่เหลือทั้งหลาย ผู้อาศัยถูลนันทานั้น ก็จักไม่ได้เพื่อฉันกระเทียม เหมือนอย่างถูลนันทาเช่นกัน เหตุนั้น แม้จะได้มาก ก็จักต้องรู้จักประมาณทีเดียว แต่ได้น้อย ก็ต้องพอใจตามที่ได้เท่านั้น ไม่ควรปรารถนาให้ยิ่งขึ้นไป“ แล้วตรัสคาถานี้ ความว่า :- 

„บุคคลได้สิ่งใด ควรยินดีด้วยสิ่งนั้น เพราะความโลภเกินประมาณชั่วนัก, นางพราหมณี จับพระยาหงส์เสียแล้วจึงเสื่อมจากทอง.“ 

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตุฏฺฐพฺพํ แปลว่า พึงยินดี.

ก็พระศาสดา ครั้นตรัสพระธรรมเทศนานี้แล้วทรงติเตียนโดยอเนกปริยายแล้วทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ก็นางภิกษุณีรูปใดฉันกระเทียม, ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ดังนี้แล้ว ประชุมชาดกว่า นางพราหมณีในครั้งนั้นได้มาเป็นภิกษุณีถูลนันทา, ธิดาทั้งสามได้มาเป็นพี่น้องหญิงในบัดนี้, ส่วนพระยาสุวรรณหงส์ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล. จบอรรถกถาสุวรรณหงสชาดกที่ ๖

ที่มา : Palipage: Guide to Language - Pali


Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: