วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2564

สมุทฺทกากชาตกํ - ว่าด้วยกาวิดน้ำด้วยปาก

สมุทฺทกากชาตกํ - ว่าด้วยกาวิดน้ำด้วยปาก

"อปิ  นุ  หนุกา  สนฺตา,     มุขญฺจ  ปริสุสฺสติ;        โอรมาม  น  ปาเรม,    ปูรเตว  มโหทธีติ ฯ    เออก็คางของเราเมื่อยล้าแล้ว และปากของเราก็ซูบซีด เราพากันเลิกเถอะ อย่าวิดเลย เพราะมหาสมุทรก็ยังเต็มอยู่ตามเดิม."

อรรถกถากากชาดกที่ ๖

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรงปรารภภิกษุแก่ ๆหลายรูปด้วยกัน ตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า  อปิ  นุ  หนุกา  สนฺตา  ดังนี้.

ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้นครั้งเป็นคฤหัสถ์ เป็นกุฏุมพีในเมืองสาวัตถี มั่งมีทรัพย์ เป็นสหายกัน ทำบุญร่วมกัน ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว พากันดำริว่า „พวกเราเป็นคนแก่ จะมีประโยชน์อะไรแก่พวกเราด้วยการอยู่ครองเรือน พวกเราจักบวชในพระพุทธศาสนา อันเป็นที่ น่ายินดีในสำนักของพระศาสดา, จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์“ ดังนี้แล้ว ต่างยกสมบัติทั้งปวงให้แก่ลูกหลานเป็นต้น ละหมู่ญาติผู้มีน้ำตานองหน้าเสีย ทูลขอบรรพชากะพระศาสดา

และครั้นบวชแล้ว มิได้ชักชวนกันบำเพ็ญสมณธรรม อันสมควรแก่บรรพชาแม้พระธรรมก็ไม่ศึกษา เพราะความเป็นคนแก่ ถึงจะบวชแล้วก็เหมือนในครั้งที่ยังเป็นคฤหัสถ์ ให้คนสร้างบรรณศาลาไว้ท้ายวิหาร คงรวมกันอยู่นั่นแล.   แม้เมื่อเที่ยวบิณฑบาต ก็ไม่ไปที่อื่น โดยมากชวนกันไปฉันที่บ้านบุตรภรรยาของตนนั่นแหละในบรรดาคนเหล่านั้นภรรยาเก่าของพระเถระแก่รูปหนึ่งได้มีอุปการะแก่พระเถระแก่ ๆแม้ทั้งปวง เหตุนั้น แม้พระเถระที่เหลือต่างก็ถืออาหารที่ตนได้ มานั่งฉันในเรือนของของนางเพียงผู้เดียว.  ฝ่ายนางเล่า ก็ถวายต้มแกงตามที่ตนจัดไว้แก่พระเถระเหล่านั้นนางป่วยด้วยอาพาธอย่างหนึ่ง ทำกาละแล้ว

ครั้งนั้น พระเถระแก่ ๆ เหล่านั้นพากันไปสู่วิหาร กอดคอกัน เที่ยวร้องไห้อยู่ท้ายวิหารว่า „อุบาสิกาผู้มีรสมืออร่อย ตายเสียแล้ว“   ฝ่ายภิกษุทั้งหลาย ฟังเสียงของพระเถระเหล่านั้นแล้ว ก็มาประชุมกันจากที่ต่าง ๆถามว่า „ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เหตุไรพวกท่านจึงร้องไห้?“

พระเถระเหล่านั้นตอบว่า „ภรรยาเก่าแห่งสหายของพวกกระผม ผู้มีรสมืออร่อยตายเสียแล้ว นางมีอุปการะแก่พวกผมยิ่งนัก ที่นี้จักหาที่ไหนได้เหมือนนางเล่า เหตุนี้พวกผมจึงพากันร้องไห้“  ภิกษุทั้งหลายเห็นข้อวิปริตนั้นของพระเถระเหล่านั้นแล้วพากันยกเรื่องขึ้นสนทนากันในธรรมสภาว่า „ผู้มีอายุทั้งหลายด้วยเหตุชื่อนี้ พระเถระแก่ ๆทั้งหลาย กอดคอกันเที่ยวร้องไห้อยู่แถวท้ายวิหาร“

พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ?“ เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ภิกษุเหล่านั้นพากันเที่ยวร้องไห้ เพราะหญิงนั้นตายลง แม้ในครั้งก่อน ภิกษุเหล่านี้อาศัยหญิงนี้ ผู้เกิดในกำเนิดกาแล้วตายเสียในสมุทร ร่วมคิดกันว่า พวกเราจักวิดน้ำในสมุทร นำนางขึ้นมาให้จงได้ ดังนี้ พากันเพียรพยายาม เพราะได้อาศัยบัณฑิต จึงได้มีชีวิตอยู่ได้“ ดังนี้แล้ว ทรงนำเรื่องราวในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นการรักษาสมุทร.   ครั้งนั้น กาตัวหนึ่ง พานางกาผู้ภรรยาของตน เที่ยวแสวงหาเหยื่อได้ไปถึงฝั่งสมุทร กาลนั้นฝูงชนพากันกระทำพลีกรรมแก่พญานาค ด้วยน้ำนม ข้าวปายาส ปลา เนื้อและสุราเป็นต้นแล้วพากันหลีกไป

ครั้งนั้น กาตัวหนึ่ง ไปถึงที่พลีกรรม เห็นน้ำนมเป็นต้น ก็พร้อมด้วยนางกากินน้ำนม ข้าวปายาส ปลาและเนื้อเป็นต้นแล้วดื่มสุราเข้าไปมาก กาผัวเมียทั้งคู่ ต่างเมามายสุรา คิดจะเล่นสมุทรกรีฑา เกาะที่ชายหาดทราย หมายใจจะอาบน้ำ.   ทีนั้นคลื่นลูกหนึ่งซัดมา พาเอานางกาเข้าไปเสียในสมุทร ปลาตัวหนึ่งจึงฮุบนางกานั้น กลืนกินเสีย การ้องไห้รำพรรณว่า „เมียของเราตายเสียแล้ว“

ครั้นกามากด้วยกันได้ยินเสียงร่ำไห้ของมัน ก็มาประชุมกันถามว่า „เจ้าร้องไห้เพราะเหตุไร ?“ มันบอกว่า „หญิงสหายของพวกท่านกำลังอาบน้ำอยู่ที่ชายหาด โดนคลื่นซัดไปเสียแล้ว กาเหล่านั้นแม้ทุกตัวก็ร้องเอ็ดอึงเป็นเสียงเดียวกัน“  ครั้งนั้น ฝูงกาเหล่านั้นได้มีความคิด ดังนี้ว่า „ขึ้นชื่อว่าน้ำในสมุทรนี้ จะสำคัญกว่า พวกเราหรือพวกเราช่วยกันวิดน้ำให้แห้ง ค้นเอาหญิงสหายออกมาให้ได้กาเหล่านั้นช่วยกันอมน้ำเค็มปากทีเดียว เอาไปบ้วนทิ้งเสียข้างนอกและเมื่อคอแห้งเพราะน้ำเค็มก็พากันขึ้นไปบนบก

พวกมันครั้นขาตะไกรล้า ปากซีด ตาแดง ก็อิดโรยไปตามกัน จึงเรียกกันมาปรับทุกข์ว่า „ชาวเราเอ๋ย พวกเราพากันอมน้ำจากสมุทรไปทิ้งข้างนอก ที่ที่เราอมน้ำไปแล้ว กลับเต็มไปด้วยน้ำเสียอีก, พวกเราคงไม่สามารถทำให้สมุทรแห้งเป็นแน่“ ดังนี้แล้ว กล่าวคาถานี้ว่า :-   „เออหนอ ขาตะไกรของพวกเราล้าเสียแล้วและปากเล่าก็ซีดเซียว พวกเราพากันวิด อยู่ ไม่ทำให้สมุทรเหือดแห้งได้ ดูเถอะ ห้วงน้ำ ใหญ่คงเต็มอย่างเดิม." 

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า  อปิ  นุ  หนุกา  สนฺตา  ความว่า เออ ก็คางของเราเมื่อยล้าแล้ว.   บทว่า  โอรมาม  น  ปาเรม  ความว่า พวกเราพากันอมน้ำจากมหาสมุทรไปทิ้งตามกำลังของตน ก็ไม่อาจทำให้เหือดแห้งได้ เพราะห้วงน้ำใหญ่คงเต็มเหมือนเดิมนั่นเอง.

ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว กาเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ก็ต่างพูดพร่ำเพ้อมากมายว่า „จะงอยปากของนางกานั้นงดงามเห็นปานนี้ ตากลมอย่างนี้ ผิวพรรณทรวดทรงงามระหงอย่างนี้เสียงเพราะปานนี้ เพราะอาศัยสมุทรผู้เป็นโจรนี้ นางกาของพวกเรา หายไปแล้ว“  เทวดาประจำสมุทร สำแดงรูปน่าสะพึงกลัวได้ฝูงกาที่กำลังร้องรำพรรณพร่ำเพ้ออยู่อย่างนี้ ให้หนีไป ความสวัสดีได้มีแก่ฝูงกานั้น ด้วยประการฉะนี้.

พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประชุมชาดกว่า นางกาในครั้งนั้นได้มาเป็นภรรยาเก่านี้ กาได้มาเป็นพระเถระแก่ ฝูงกาที่เหลือได้มาเป็นพระเถระแก่ ๆ ที่เหลือส่วนเทวดารักษาสมุทรได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.  จบอรรถกถากากชาดกที่ ๖ 

ที่มา : Palipage: Guide to Language - Pali





Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: