จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๓)
พลังอำนาจแห่งจักรแก้ว ทบทวนกันหน่อยก่อน รัตนะ ๗ ประการของพระเจ้าจักรพรรดิคือ - ๑. จักกรัตนะ จักรแก้ว ๒. หัตถิรัตนะ ช้างแก้ว ๓. อัสสรัตนะ ม้าแก้ว ๔. มณีรัตนะ แก้วมณี ๕. อิตถีรัตนะ นางแก้ว ๖. คฤหปติรัตนะ ขุนคลังแก้ว ๗. ปริณายกรัตนะ ขุนพลแก้ว
จักกรัตนะหรือจักรแก้วท่านยกขึ้นเป็นอันดับแรก คืออะไร ?
ในพระสูตรท่านบรรยายลักษณะของจักรแก้วไว้ดังนี้ :- ทิพฺพํ จกฺกรตนํ ปาตุภวิสฺสติ สหสฺสารํ สเนมิกํ สนาภิกํ สพฺพาการปริปูรํ. จักรแก้วอันเป็นทิพย์ มีกำพันหนึ่ง มีกง มีดุม บริบูรณ์ด้วยอาการทุกอย่าง
เป็นอันชัดเจนว่า จักรแก้วในที่นี้ไม่ใช่อาวุธในนิยาย รูปเป็นวงกลมและมีแฉก ๆ โดยรอบ สำหรับขว้างไปสังหารปรปักษ์
หากแต่หมายถึงล้อรถ
คำว่า กำ กง ดุม (บาลี: กำ = อร, กง = เนมิ, ดุม = นาภิ) เป็นส่วนประกอบของล้อเกวียนและล้อรถโบราณ หาความรู้จากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานกันหน่อย
กำ = ซี่ล้อรถหรือเกวียน กง = ส่วนรอบของล้อเกวียนหรือล้อรถม้าเป็นต้น ดุม = ส่วนกลางของล้อเกวียนหรือล้อรถที่มีรูสําหรับสอดเพลา
ที่ต้องพูดมากหน่อยเพราะผมเชื่อว่าคนไทยรุ่นใหม่ไม่รู้จักถ้อยคำพวกนี้ ในภาษาไทยมีสำนวนว่า “กงเกวียนกำเกวียน” ซึ่งมักจะมีคนเอาไปพูดผิดพลาดคลาดเคลื่อนเป็น “กงกำกงเกวียน”
“กงกำกงเกวียน” เป็นคำพูดที่ผิด กรุณาอย่าจำเอาไปพูด คำที่ถูกคือ “กงเกวียนกำเกวียน” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ บอกไว้ว่า -
“กงเกวียนกำเกวียน (สํานวน) ใช้เป็นคําอุปมาหมายความว่า เวรสนองเวร, กรรมสนองกรรม, เช่น ทําแก่เขาอย่างไร ตนหรือลูกหลานเป็นต้นของตนก็อาจจะถูกทำในทำนองเดียวกันอย่างนั้นบ้าง เป็นกงเกวียนกําเกวียน.”
ผมโชคดีที่เป็นคนรุ่นเก่าหน่อย เคยเห็น เคยสัมผัส เคยใช้งานจริงของพวกนี้ เกิดทันช่างที่ผลิตอุปกรณ์พวกนี้ ผมเชื่อว่าช่างไทยที่ทำเป็นทำได้น่าจะยังมีอยู่ ทางราชการควรฟื้นฟูรักษาภูมิปัญญาไทยเอาไว้ก่อนที่จะสูญ (หน่วยงานที่พอจะเป็นความหวังคือ ศูนย์ศิลปาชีพพิเศษ) ไม่ใช่ทำเป็นของประดับสวนประดับบ้าน หรือของที่ระลึกนะครับ แต่ผลิตเป็นของใช้งานจริง
พระสูตรบรรยายภารกิจการทำงานของจักรแก้วไว้ดังนี้ พระเจ้าจักรพรรดิประกาศว่า -
ปวตฺตตุ ภวํ จกฺกรตนํ อภิวิชินาตุ ภวํ จกฺกรตนํ. ขอจักรแก้วอันประเสริฐจงหมุนไปทั่วโลกเถิด ขอจักรแก้วอันประเสริฐจงชนะโลกทั้งปวงเถิด
ลำดับนั้น จักรแก้วก็หมุนไปทางทิศบูรพา พระเจ้าจักรพรรดิพร้อมด้วยจตุรงคินีเสนาก็เสด็จติดตามไป จักรแก้วไปหยุดยั้งอยู่ ณ ดินแดนใดทางทิศบูรพา พระเจ้าจักรพรรดิก็เสด็จเข้าไปประทับ ณ ดินแดนนั้นพร้อมด้วยจตุรงคินีเสนา ทุกเมืองที่จักรแก้วผ่านไปต่างก็ยอมอ่อนน้อม ประกาศยกบ้านเมืองถวายว่า -
เอหิ โข มหาราช สฺวาคตํ เต มหาราช สกนฺเต มหาราช อนุสาส มหาราช. ขอเชิญเสด็จมาเถิดมหาราชเจ้า พระองค์เสด็จมาดีแล้ว ราชอาณาจักรเหล่านี้เป็นของพระองค์ทั้งสิ้น ขอพระองค์จงทรงปกครองเถิดมหาราชเจ้า
พระเจ้าจักรพรรดิตรัสแก่เจ้าเมืองทั้งหลายว่า -
ปาโณ น หนฺตพฺโพ, อทินฺนํ นาทาตพฺพํ, กาเมสุ มิจฺฉา น จริตพฺพา, มุสา น ภาสิตพฺพา, มชฺชํ น ปาตพฺพํ ... พวกท่านไม่พึงฆ่าสัตว์ ไม่พึงถือเอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ไม่พึงประพฤติผิดในกามทั้งหลาย ไม่พึงกล่าวคำเท็จ ไม่พึงดื่มน้ำเมา
ยถาภุตฺตญฺจ ภุญฺชถาติ. จงเสวยสมบัติตามเดิมเถิด
ครั้นแล้ว จักรแก้วนั้นก็ลงไปสู่สมุทรด้านทิศบูรพา แล้วโผล่ขึ้นที่สมุทรด้านทิศทักษิณ ทิศปัจฉิม ทิศอุดร บรรจบถึงสมุทรด้านทิศบูรพา พระเจ้าจักรพรรดิพร้อมด้วยจตุรงคินีเสนาก็เสด็จติดตามไป
จักรแก้วไปถึงดินแดนใด พระเจ้าจักรพรรดิก็เสด็จเข้าไปประทับ ณ ดินแดนนั้นพร้อมด้วยจตุรงคินีเสนา ทุกบ้านเมืองต่างยอมอ่อนน้อมหมดทั้งสิ้น
เป็นอันว่าแผ่นดินอันมีมหาสมุทรเป็นขอบเขตทั้ง ๔ ทิศ อยู่ในอำนาจของพระเจ้าจักรพรรดิหมดสิ้น ทั้งนี้ด้วยพลังอำนาจแห่งจักกรัตนะ คือจักรแก้ว น่าจะเป็นเพราะพลังอำนาจแห่งจักกรัตนะคือจักรแก้วนี่เอง เป็นเหตุให้พระราชาได้นามว่า “พระเจ้าจักรพรรดิ”
“จักรพรรดิ” บาลีเป็น “จกฺกวตฺติ” (จัก-กะ-วัด-ติ) แปลตามศัพท์ได้หลายนัย ดังนี้ - (๑) “ผู้เป็นไปด้วยจักกรัตนะ” (คือประพฤติตามราชประเพณีมีปราบคนชั่วเป็นต้น) (๒) “ผู้ยังจักกรัตนะให้เป็นไป” (คือปล่อยจักกรัตนะให้ลอยไปข้างหน้าของตน) (๓) “ผู้หมุนวงล้อแห่งบุญ หรือวงล้อแห่งรถให้เป็นไปในเหล่าสัตว์ หรือทรงให้เหล่าสัตว์เป็นไปในวงล้อนั้น”
(๔) “ผู้บำเพ็ญทศพิธราชธรรมถึงสิบปีเพื่อให้จักกรัตนะเกิดขึ้น” (๕) “ผู้ปฏิบัติจักรธรรม” (คือธรรมเนียมปฏิบัติ ๑๐ หรือ ๑๒ ประการ) (๖) “ผู้ยังอาณาจักรและธรรมจักรให้เป็นไปในหมู่สัตว์ทั้งสี่ทวีป” (๗) “ผู้ยังจักรคืออาณาเขตให้เป็นไปไม่ติดขัด” (๘ ) “ผู้ยังจักรคือทานอันยิ่งใหญ่ให้เป็นไป”
ตอนหน้า: ถอดความรัตนะ ๗ ประการของพระเจ้าจักรพรรดิ
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย, ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๔, ๑๘:๐๐
จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๑) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๒) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๓) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๔) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๕) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๖) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๗) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๘) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๐๙) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๐) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๑) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๒) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๓) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๔) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๕) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๖) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๗) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๘) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๑๙) , จักกวัตติสูตรศึกษา (๒๐)
0 comments: