สญฺชีวชาตกํ - ว่าด้วยโทษที่ยกย่องอสัตบุรุษ
"อสนฺตํ โย ปคฺคณฺหาติ, อสนฺตํ จูปเสวติ; ตเมว ฆาสํ กุรุเต, พฺยคฺโฆ สญฺชีวโก ยถาติ ฯ ผู้ใดยกย่องอสัตบุรุษ และคบหาอสัตบุรุษ อสัตบุรุษย่อมทำผู้นั้นแหละให้เป็นอาหาร เหมือนเสือโคร่งที่ตายแล้ว สัญชีวมาณพร่ายมนต์ให้กลับฟื้นขึ้นมา ทำสัญชีวมาณพให้เป็นเหยื่อ ฉะนั้น."
อรรถกถาสัญชีวชาดกที่ ๑๐ (๑๕๐)
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันทรงปรารภการยกย่องอสัตบุรุษของพระเจ้าอชาตศัตรู ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อสนฺตํ โย ปคฺคณฺหาติ ดังนี้.
ความพิสดารว่า พระเจ้าอชาตศัตรูนั้นทรงเลื่อมใสในพระเทวทัตผู้ทุศีล มีบาปธรรม เป็นเสี้ยนหนามต่อพระพุทธองค์และพุทธสาวกทรงยกย่องพระเทวทัตนั้น ผู้ไม่สงบระงับเป็นอสัตบุรุษทรงพระดำริว่า จักทำสักการะแก่เธอ ดังนี้แล้ว. ทรงบริจาคทรัพย์เป็นอันมาก ให้สร้างวิหารที่คยาสีสประเทศทรงเชื่อถ้อยคำของเธอ สำเร็จโทษพระราชบิดา ผู้เป็นพระราชาผู้ตั้งอยู่ในธรรม เป็นพระอริยสาวกชั้นพระโสดาบันเสีย ตัดรอนอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติมรรคของพระองค์ ถึงความพินาศใหญ่หลวง
ครั้นท้าวเธอทรงสดับว่า พระเทวทัต ถูกแผ่นดินสูบก็สะดุ้งตกพระทัยว่า ตัวเราเล่า จักถูกแผ่นดินสูบบ้างไหมหนอ ? ไม่ได้รับความสุขในราชสมบัติ ไม่ได้ประสบความยินดีบนพระแท่นบรรทมทรงหวาดผวาอยู่เที่ยวไป เหมือนเปรตที่ถูกทรมานอย่างรุนแรง. ท้าวเธอนึกเห็นเป็นเสมือน กำลังถูกแผ่นดินสูบเหมือนเปลวเพลิงในอเวจี กำลังแลบออกมาและเหมือนพระองค์จักบังคับให้บรรทมหงาย เหนือแผ่นดินเหล็กที่ร้อนแล้วถูกแทงด้วยหลาวเหล็กฉะนั้น ด้วยเหตุนั้น ขึ้นชื่อว่าความสงบพระทัยแม้ชั่วครู จึงมิได้มีแก่พระองค์ ผู้หวาดผวาเหมือนไก่ที่ถูกเชือด. ท้าวเธอมีพระประสงค์จะเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระประสงค์จะให้พระพุทธองค์ทรงอดโทษ ทั้งมีพระประสงค์จะทูลถามปัญหา แต่เพราะพระองค์มีความผิดอย่างใหญ่หลวง จึงมิอาจที่จะเข้าเฝ้าได้.
ครั้งนั้น ประจวบกับพระนครราชคฤห์ มีงานราตรีประจำเดือนกัตติกา ประชาชนพากันตกแต่งบ้านเมืองประหนึ่งเทพนครพระเจ้าอชาตศัตรู แวดล้อมไปด้วยหมู่อำมาตย์ ประทับนั่งเหนือพระราชอาสน์ทองคำ ในท้องพระโรงหลวง ทอดพระเนตรเห็นหมอชีวกโกมารภัจ นั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่างได้ทรงมีพระปริวิตกว่า „เราจักชวนหมอชีวกไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราไม่อาจที่จะชวนไปตรง ๆทีเดียวว่า ชีวกผู้สหาย เราไม่สามารถที่จะไปตามลำพังได้ มาเถิด เธอช่วยพาฉันไปเฝ้าพระศาสดาด้วยเถิด“ ดังนี้,
ต้องพรรณาถึงความเพริดพริ้งงดงามแห่งยามราตรีแก่เขาด้วยปริยายเป็นอันมากแล้วจึงค่อยกล่าวว่า „ไฉนเล่าหนอ วันนี้พวกเราน่าจะเข้าไปหาสมณะ หรือพราหมณ์ที่เมื่อพวกเราเข้าไปหาท่านจะพึงทำจิตใจให้ผ่องใสได้, ฟังคำนั้นแล้ว พวกอำมาตย์จักพากันพรรณนาคุณศาสดาทั้งหลายของตน, ถึงหมอชีวกเล่า ก็คงจะกล่าวพรรณนาคุณแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจักชวนเขาไปสู่สำนักพระศาสดา“ ดังนี้, ท้าวเธอจึงพรรณนาราตรีกาล ด้วยบททั้ง ๕ ดังนี้ „ชาวเราเอ๋ย คืนวันเพ็ญ เจิดจ้าแท้ หนอ, ชาวเราเอ๋ย คืนวันเพ็ญงามจริง ยิ่งหนอ, ชาวเราเอ๋ย คืนวันเพ็ญ น่าทัศนา จริงหนอ, ชาวเราเอ๋ย คืนวันเพ็ญ แจ่มใส จริงหนอ, ชาวเราเอ๋ย คืนวันเพ็ญ น่ารื่นรมย์ แท้หนอ“,
วันนี้ใครเล่าหนอ ที่ชาวเราควรเข้าไปหาท่านผู้ใดเล่าที่พวกเราเข้าไปหา จิตใจจะพึงเลื่อมใสได้.“ ครั้งนั้น อำมาตย์ผู้หนึ่ง กล่าวถึงคุณของปูรณกัสสป คนหนึ่งกล่าวถึงคุณของมักขลิโคศาล คนหนึ่งกล่าวถึงคุณของอชิตเกสกัมพล คนหนึ่งกล่าวคุณปกุทธกัจจายนะ คนหนึ่งกล่าวคุณของสญชัยเวลัฏฐบุตร คนหนึ่งกล่าวคุณของนิครนถนาฏบุตร. พระราชาทรงสดับคำของเขาเหล่านั้นแล้วได้ทรงดุษณีภาพด้วยว่า ท้าวเธอทรงปรารถนาถ้อยคำของมหาอำมาตย์ชีวกเท่านั้น ฝ่ายหมอชีวกดำริว่า เมื่อพระราชาตรัสกับเรานั่นแหละ เราจึงจักกราบทูลดังนี้แล้ว ก็นั่งนิ่งอยู่ในที่ไม่ไกล
ครั้งนั้น พระราชาจึงตรัสกะเขาว่า „ดูก่อนสหายชีวกท่านเล่าทำไมจึงนิ่งเสีย ?" ขณะนั้น ชีวกก็ลุกจากอาสนะ ประณมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ กราบทูลว่า „ขอเดชะ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น กำลังเสด็จประทับอยู่ ณ สวนมะม่วงของข้าพระองค์ กับภิกษุสงฆ์ ๑,๒๕๐ รูป. ก็แลกิตติศัพท์อันงามอย่างนี้ เฉพาะพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ระบือไปแล้ว พลางประกาศปาฏิหาริย์เก้าร้อยประการอานุภาพของพระผู้มีพระภาคเจ้า มีบุรพนิมิตรตั้งแต่ประสูติเป็นต้นเป็นประเภท. แล้วกราบทูลว่า „ขอเชิญพระองค์ผู้สมมติเทพเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงสดับธรรมตรัสถามปัญหาเถิดพระเจ้าข้า“
พระราชาทรงมีพระมโนรถเต็มเปี่ยม ตรัสว่า „สหายชีวก ถ้าเช่นนั้น เธอจงสั่งให้จัดแจงช้างเถิด“ ครั้นรับสั่งให้จัดเตรียมยานพาหนะแล้ว เสด็จดำเนินไปสู่ชีวกัมพวัน ด้วยราชานุภาพอันใหญ่หลวง ทอดพระเนตรเห็นพระตถาคตเจ้า แวดล้อมด้วยหมู่ภิกษุในโรงโถง ณ ชีวกัมพวันนั้นทรงชำเลืองดูหมู่ภิกษุ ผู้ปราศจากการเคลื่อนไหว ประหนึ่ง เรือใหญ่ในท่ามกลางทะเล ยามมีคลื่นลมสงบแล้ว ฉะนั้น, โดยถ้วนทั่วทรงเลื่อมใสในอิริยาบถนั้นแล ด้วยทรงพระดำริว่า „บริษัทเห็นปานดังนี้ เราไม่เคยเห็นเลย“ พลางประคองอัญชลีแด่พระสงฆ์ ตรัสชมเชย ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วกราบทูลถามปัญหาในสามัญญผล
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสามัญญผลสูตร ประดับด้วยภาณวาร ๒ ภาณวารแก่ท้าวเธอ ในเวลาจบพระสูตรท้าวเธอดีพระทัย ทูลขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอดโทษ เสด็จลุกจากอาสนะทรงกระทำปทักษิณแล้วเสด็จหลีกไป. เมื่อพระราชาเสด็จไปแล้วไม่นาน พระศาสดาตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย มาตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระราชาองค์นี้ถูกขุดเสียแล้ว ถูกโค่นเสียแล้ว ถ้าท้าวเธอจักไม่ปลงพระชนม์พระราชบิดา ผู้ประกอบด้วยธรรม เป็นราชาโดยธรรมเสียเพราะมุ่งความเป็นใหญ่ไซร้ ธรรมจักษุอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน จักบังเกิดในขณะประทับนั่งนี้ทีเดียว แต่ท้าวเธออาศัยพระเทวทัต ทำการยกย่องอสัตบุรุษ จึงเสื่อมเสียจากโสดาปัตติผล“. ในวันรุ่งขึ้น ภิกษุทั้งหลาย ยกเรื่องขึ้นสนทนากันในธรรมสภาว่า „ผู้มีอายุทั้งหลาย ได้ยินว่า พระเจ้าอชาตศัตรูเสื่อมเสียจากโสดาปัตติผล เพราะทำการยกย่องอสัตบุรุษอาศัยพระเทวทัตผู้ทุศีล มีบาปธรรมทรงกระทำปิตุฆาตกรรมเป็นพระราชาที่พระเทวทัตให้ฉิบหายแล้ว“.
พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร?“ เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้วตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่อชาตศัตรูทำการยกย่องอสัตบุรุษ ถึงความพินาศอย่างใหญ่หลวง แม้ในกาลก่อน เธอก็ทำลายตนเสียด้วยการยกย่องอสัตบุรุษเหมือนกัน“ ทรงนำเรื่องราวในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์ มีสมบัติมาก เจริญวัยแล้วไปสู่เมืองตักกสิลา เรียนสรรพศิลปวิทยาเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ในพระนครพาราณสี บอกศิลปะแก่มาณพ ๕๐๐ คน. ในมาณพเหล่านั้นมีมาณพคนหนึ่งชื่อ สัญชีวะพระโพธิสัตว์ได้ให้มนต์ทำคนตายให้ฟื้นแก่เขา เขาเรียนแต่มนต์ทำคนตายให้ฟื้นอย่างเดียว ไม่ได้เรียนมนต์สำหรับป้องกัน
วันหนึ่งไปป่าหาฟืนกับพวกเพื่อน เห็นเสือตายตัวหนึ่ง ก็พูดกะพวกมาณพว่า „ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เราจักทำเสือตายตัวนี้ให้ฟื้นขึ้น“ มาณพทั้งหลาย กล่าวแย้งว่า „ท่านจักไม่สามารถดอก“ เขากล่าวว่า „เราจักทำให้มันฟื้นขึ้น ให้พวกท่านเห็นกันทุกคนทีเดียว“ พวกมาณพเหล่านั้นจึงกล่าวว่า „ถ้าท่านสามารถ ก็จงปลุกให้มันตื่นขึ้นเถิด“ ครั้นกล่าวแล้ว ต่างรีบปีนขึ้นต้นไม้ สัญชีวมาณพ ร่ายมนต์แล้วขว้างเสือตายด้วยก้อนกรวด เสือลุกขึ้นโดดกัดสัญชีวมาณพที่ก้านคอ ทำให้สิ้นชีวิตล้มลงตรงนั้นเอง ทั้งคู่นอนตายอยู่ในที่เดียวกัน. พวกมาณพพากันขนฟืนไปแล้วแจ้งความเป็นไปนั้นแก่อาจารย์ อาจารย์จึงเรียกมาณพทั้งหลายมากล่าวว่า „พ่อคุณทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าผู้ที่ยกย่อง อสัตบุรุษกระทำสักการะและสัมมานะ ในที่อันไม่สมควร ย่อมกลับได้รับทุกข์เห็นปานนี้ ทั้งนั้น“ แล้วกล่าวคาถานี้ว่า :-
„ผู้ใดยกย่องและคบหาอสัตบุรุษ อสัตบุรุษย่อมทำผู้นั้นแหละให้เป็นเหยื่อ เหมือนพยัคฆ์ ที่สัญชีวมาณพ ชุบขึ้น ย่อมทำเขานั่นแลให้เป็นเหยื่อ ฉะนั้น.“
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสนฺตํ ได้แก่ ผู้ทุศีลมีบาปธรรมประกอบด้วยทุจริตทั้ง ๓ ประการ. บทว่า โย ปคฺคณฺหาติ ความว่า บรรดาขนมีกษัตริย์เป็นต้น ผู้ใดผู้หนึ่งยกย่อง คือทำสักการะ สัมมานะ อสัตบุรุษผู้ทุศีลเห็นปานนี้ ที่เป็นบรรพชิต ด้วยการถวายปัจจัยมีจีวรเป็นต้น ที่เป็นคฤหัสถ์ด้วยการให้ครอบครองตำแหน่ง อุปราชและเสนาบดีเป็นต้น. บทว่า อสนฺตํ จูปเสวติ ความว่า อนึ่งเล่าผู้ใดย่อมเข้าไปสร้องเสพ คบหา สนิทสนม อสัตบุรุษ ผู้ทุศีล เห็นปานนี้. บทว่า ตเมว ฆาสํ กุรุเต ความว่า บุคคลชั่วผู้ทุศีลนั้นย่อมกัดผู้นั้น คือผู้ที่ยกย่องอสัตบุรุษนั้นแล กินเสียได้แก่ ทำผู้นั้นให้ถึงความพินาศ. เช่นไรเล่า ? เหมือนพยัคฆ์ที่คืนชีพ เพราะมาณพชุบขึ้น
อธิบายว่า พยัคฆ์ที่ตายคืนชีพได้ โดยที่สัญชีวมาณพ ร่ายมนต์ยกย่องด้วยการมอบชีวิตให้ กลับปลงชีพ สัญชีวมาณพผู้ให้ชีวิตแก่มันให้ล้มลงตรงนั้นเอง ฉันใด แม้ผู้อื่นก็ฉันนั้น. ผู้ใดทำการยกย่องอสัตบุรุษ อสัตบุรุษทุศีลนั้น ย่อมทำลายล้าง ผู้ที่ยกย่องตนนั้นเสียทีเดียว พวกชนที่ยกย่องอสัตบุรุษ ย่อมพากันถึงความพินาศ ด้วยประการฉะนี้.
พระโพธิสัตว์แสดงธรรมแก่มาณพทั้งหลาย ด้วยคาถานี้การทำบุญมีให้ทานเป็นต้นแล้วก็ไปตามยถากรรม.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประชุมชาดกว่า มาณพผู้ทำเสือตายให้ฟื้นในครั้งนั้นได้มาเป็นพระเจ้าอชาตศัตรูในบัดนี้ ส่วนอาจารย์ทิศาปาโมกข์ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล. จบสัญชีวชาดกที่ ๑๐
ที่มา : Palipage: Guide to Language - Pali
0 comments: