พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
“ความประมาทเป็นดุจธุลี ความประมาทที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็จัดเป็นดุจกองธุลี กุลบุตรผู้เป็นบัณฑิตควรถอนลูกศรคือกิเลสของตนด้วยความไม่ประมาทและด้วยวิชชา”
อธิบายความ
ความอยู่ปราศจากสติ ชื่อว่าความประมาท, ความประมาทนั้นชื่อว่าเป็นธุลี เพราะว่าเป็นมลทินของจิต ธุลีนั้นติดตามความประมาทมา และความผิดก็เกิดขึ้นจากความประมาท ด้วยว่าแต่ไหนแต่ไรมา ชื่อว่าความประมาทที่ไม่เป็นธุลีไม่มีเลย.
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงไว้ว่า “ท่านทั้งหลายอย่าได้ถึงความวางใจว่า “ขณะนี้พวกเรายังหนุ่มสาวอยู่ก่อน พวกเราจักรู้ได้ในภายหลัง” เพราะว่าความประมาทแม้ในเวลาเป็นหนุ่มสาวก็จัดว่าเป็นธุลี ความประมาทในวัยกลางคนก็มี ในวัยแก่ก็มี จัดว่าเป็นธุลีใหญ่ เพราะธุลีที่ติดตามความประมาทในวัยทั้งสามนั้น จัดว่าเป็นกองหยากเยื่อกองใหญ่ทีเดียว (ถ้าประมาทในวัยทั้งสามก็จะกลายเป็นกองขยะกองใหญ่)
เพราะฉะนั้น กุลบุตรผู้เป็นบัณฑิตพึงถอนลูกศร ๕ อย่าง คือ ๑. ลูกศรคือราคะ ความยินดีในกาม ๒. ลูกศรคือโทสะ ความโกรธ ๓. ลูกศรคือโมหะ ความหลง ๔. ลูกศรคือมานะ ความถือตัว ๕. ลูกศรคือทิฏฐิ ความเห็นผิด (บางสูตรท่านแสดงลูกศรไว้ ๗ อย่าง เพิ่ม (๖) ลูกศรคือกิเลส (๗) ลูกศรคือทุจริต)
อันอาศัยหทัยของตน ด้วยความไม่ประมาท คือการอยู่โดยไม่ปราศจากสติ และด้วยวิชชา คืออาสวักขยญาณ ดังนี้
สาระธรรมจากอรรถกถาอุฏฐานสูตร
พระมหาวัชระ เชยรัมย์ (ติกฺขญาโณ)
15/8/64
0 comments: