วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2564

อสิลกฺขณชาตกํ-ว่าด้วยเหตุอย่างเดียวคนได้ผลต่างกัน

อสิลกฺขณชาตกํ-ว่าด้วยเหตุอย่างเดียวคนได้ผลต่างกัน

"ตเทเวกสฺส  กลฺยาณํ,     ตเทเวกสฺส  ปาปกํ;   ตสฺมา  สพฺพํ  น  กลฺยาณํ,   สพฺพํ  วาปิ  น  ปาปกนฺติฯ   เหตุอย่างเดียวกันนั่นและ เป็นผลดีแก่คนคนหนึ่ง แต่เป็นผลร้ายแก่อีกคนหนึ่งได้ เพราะฉะนั้น เหตุอย่างเดียวกัน มิใช่ว่าจะเป็นผลดีไปทั้งหมด และมิใช่ว่าจะเป็นผลร้ายไปทั้งหมด."

อรรถกถาอสิลักขณชาดกที่ ๖

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรงปรารภพราหมณ์ผู้ตรวจลักษณะดาบของพระเจ้าโกศลตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ตเถเวกสฺส กลฺยาณํ ดังนี้.

ได้ยินว่า พราหมณ์นั้น ในเวลาที่พวกช่างเหล็ก นำดาบมาถวายพระราชา ก็สูดดมดาบแล้วชี้ถึงลักษณะดีชั่วของดาบเขาได้ลาภจากมือของช่างดาบพวกใด ก็กล่าวดาบของช่างพวกนั้นว่า สมบูรณ์ด้วยลักษณะ ประกอบด้วยมงคล ไม่ได้จากมือของช่างพวกใด ก็ติเตียนดาบของช่างพวกนั้นว่า อัปลักษณ์

ครั้งนั้น ช่างดาบคนหนึ่งกระทำดาบแล้ว ใส่พริกป่นอย่างละเอียดในฝักนำดาบมาถวายพระราชา พระราชารับสั่งหาพราหมณ์มาตรัสว่า „ท่านจงพิจารณาดูดาบทีเถิด“ เมื่อพราหมณ์ชักดาบออกมาดมพริกป่นเข้าจมูก ทำให้เกิดอยากจามขึ้น เมื่อพราหมณ์กำลังจามอยู่นั่นแหละ จมูกก็ถูกคบดาบบาดขาดเป็นสองชิ้น ข้อที่พราหมณ์นั้นจมูกขาด รู้กันทั่วในหมู่สงฆ์

อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายพากันยกเรื่องขึ้นสนทนาในโรงธรรมว่า „ผู้มีอายุทั้งหลาย ได้ยินว่า พราหมณ์ผู้ตรวจลักษณะดาบของพระราชา ดูลักษณะดาบเลยทำให้จมูกขาดไปเสียแล้ว“ พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ?" เมื่อภิกษุทั้งหลาย กราบทูลให้ทรงทราบแล้วตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พราหมณ์นั้นดมดาบถึงจมูกขาด แม้ในกาลก่อนก็เคยถึงจมูกขาดมาแล้ว“ ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระองค์ได้มีพราหมณ์ผู้ตรวจลักษณะดาบเหมือนกัน เรื่องทุกอย่าง ก็เช่นเดียวกันกับเรื่องปัจจุบันนั้นแล  แปลกแต่ว่า พระราชาได้พระราชทานหมอแก่พราหมณ์ให้รักษา จนยอดจมูกหายเป็นปกติ ให้ทำจมูกเทียมด้วยครั่งใส่แทนแล้วทรงตั้งพราหมณ์เป็นข้าเฝ้าตำแหน่งเดิมนั่นแหละ  ก็พระเจ้าพาราณสีไม่มีโอรส มีแต่พระธิดาองค์หนึ่ง กับพระราชภาคิไนย พระองค์ทรงเลี้ยงพระราชธิดาและพระราชภาคิไนยไว้ในสำนักของพระองค์ทีเดียว เมื่อพระราชธิดาเเละพระราชภาคิไนยทรงจำเริญร่วมกันมา ต่างฝ่ายต่างมีพระทัยปฏิพัทธ์กัน

ฝ่ายพระราชา ตรัสเรียกอำมาตย์ทั้งหลายมา รับสั่งว่า หลานของเราจักได้เป็นเจ้าของราชสมบัตินี้ เพียงผู้เดียว เราจักยกธิดาให้เขาแล้วทำการอภิเษกกันเลยทีเดียวแล้วทรงพระดำริใหม่ว่า หลานของเราก็คงเป็นญาติของเราโดยประการทั้งปวงเราจักนำราชธิดาอื่นมาให้เขาแล้วทำการอภิเษก ยกธิดาของเราให้แก่พระราชาองค์อื่น ด้วยอุบายวิธีนี้ ญาติของเราจักเป็นเจ้าของราชสมบัติทั้งสองพระนคร  ท้าวเธอทรงปรึกษากับอำมาตย์ทั้งหลาย รับสั่งว่า ควรจะแยกคนทั้งสองนั้นเสียแล้วรับสั่งให้พระราชภาคิไนย ประทับในตำหนักหนึ่ง พระราชธิดาประทับในตำหนักหนึ่ง

พระราชภาคิไนยและพระราชธิดาทั้งคู่นั้นมีพระชนม์ถึง ๑๖ พรรษาด้วยกันแล้ว ยิ่งมีพระทัยปฏิพัทธ์ต่อกันยิ่งนัก พระราชกุมารทรงพระดำริว่า ด้วยอุบายอย่างไรเล่าหนอ เราจึงจะอาจพาธิดาของเสด็จลุง ออกจากพระราชวังได้เห็นว่า มีอุบายอยู่อย่างหนึ่ง จึงรับสั่งเรียกหญิงแม่มดผู้ใหญ่เข้ามาเฝ้า ประทานสิ่งของมีค่าพันกหาปณะแก่นาง  เมื่อนางกราบทูลถามว่า „จะให้หม่อมฉันทำอะไร ?“ จึงรับสั่งว่า „แม่เจ้าเมื่อท่านทำการในวันนี้ เรื่องที่ชื่อว่าไม่สำเร็จไม่มีท่านจงอ้างเหตุอะไร ๆ ก็ได้ ทำให้เสด็จลุงของฉันพาธิดาออกจากพระราชวังให้จงได้ก็แล้วกัน“

หญิงแม่มดรับคำว่า „สำเร็จเพคะ หม่อมฉันจะเข้าเฝ้าพระราชาแล้วจักทูลอย่างนี้ว่า „ข้าแต่สมมติเทพ กาฬกรรณีกำลังกุมพระธิดาอยู่ ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ไม่มีทางที่มันจะหันกลับไปแล้ว (อย่างอื่น) หม่อมฉันขอพาพระธิดาขึ้นรถไปในวันโน้น จักบุรุษถืออาวุธจำนวนมากตามไปด้วยไปสู่ป่าช้าด้วยบริวารเป็นอันมาก ให้มนุษย์ที่ตายแล้วนอนเหนือเตียงในป่าช้า อยู่เบื้องล่างของตั่งอันเป็นมลฑลพิธีให้พระราชธิดาประทับนั่งเหนือเตียงชั้นบน ให้ทรงสรงสนานด้วยน้ำหอมประมาณ ๑๕๐ หม้อ ยังตัวกาฬกรรณีให้ลอยไป,

ครั้นหม่อมฉันกราบทูลอย่างนี้แล้ว จักพาพระราชธิดาไปป่าช้าได้ ในวันที่พวกหม่อมฉันจะไปป่าช้านั้น พระองค์ก็ถือเอาพริกป่นหน่อยหนึ่ง แวดล้อมด้วยผู้คนถืออาวุธของพระองค์ขึ้นไปสู่ป่าช้าเสียก่อน หยุดรถไว้ที่ประตูป่าช้าด้านหนึ่งก่อน ให้พวกคนที่ถืออาวุธ เข้าไปในป่าช้าเสีย พระองค์เองเสด็จไปสู่แท่นพิธีมณฑลในป่าช้า ทำเป็นคนตายที่ที่เขาคลุมไว้ บรรทมอยู่ หม่อมฉันมาถึงที่นั้น ก็จักวางเตียงคล่อมพระองค์ไว้ ยกพระราชธิดาขึ้นวางไว้บนเตียง,

ขณะนั้นพระองค์ก็เอาพริกป่นใส่พระนาสิก ก็จะทรงจามสองสามครั้ง ในเวลาที่พระองค์ทรงจาม หม่อมฉันจะละพระราชธิดาไว้แล้วหนีไป ตอนนั้น พระองค์จงยังพระราชธิดาให้สรงสนานพระเศียร แม้พระองค์เองก็สรงสนานพระเศียรเสียด้วยแล้วพาพระธิดาไปสู่ตำหนักของพระองค์“  พระราชกุมารรับสั่งว่า "อุบายเหมาะจริง ดีแท้ ๆ“ ฝ่ายหญิงแม่มด ก็ไปกราบทูลความนั้นแด่พระราชา พระราชาทรงรับสั่งอนุญาตแล้วไปทูลความนั้นให้พระราชธิดาทรงทราบไว้ แม้พระราชธิดาก็รับคำ  ในวันที่จะออกไป หญิงแม่มดให้สัญญาณแก่พระกุมารแล้วไปสู่ป่าช้าด้วยบริวารจำนวนมาก กล่าวขู่เพื่อให้เกิดความกลัวแก่พวกมนุษย์ที่อารักขาว่า ในเวลาที่เราวางพระธิดาลงบนเตียง คนตายที่อยู่ใต้เตียงจักจามและครั้นแล้วจะลุกออกจากใต้เตียง เห็นผู้ใดก่อน จักจับผู้นั้นไป พวกท่านพึงระวังตัวให้ดี อย่าประมาท

พระราชกุมารไปถึงก่อนแล้วบรรทมอยู่ที่นั้น โดยนัยดังกล่าวแล้ว แม่มดใหญ่อุ้มพระธิดาขึ้นเดินไปสู่แท่นมณฑลกราบทูลปลอบว่า „หม่อมแม่อย่ากลัวเลย ให้สัญญาณแล้ววางลงบนเตียง“  ขณะนั้น พระราชกุมารก็เอาพริกป่นใส่จมูกจามขึ้นพอพระราชกุมารจามขึ้นเท่านั้น แม่มดใหญ่ก็ละพระราชธิดาไว้ร้องเสียงดังลั่น หนีไปก่อนคนทั้งหมด พอแม่มดใหญ่หนีไปแล้วก็ไม่มีใครแม้คนเดียว จะชื่อว่าสามารถรั้งรออยู่ได้ ทุกคนต่างทิ้งอาวุธที่ถือมา พากันหนีไปสิ้น พระราชกุมารทำทุกอย่างตามที่ปรึกษาตกลงกันไว้แล้วพาพระราชธิดาไปสู่นิเวศน์ของพระองค์

หญิงแม่มดไปกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระราชา พระราชาทรงพระดำริว่า „แม้โดยปกติเล่า เราก็เลี้ยงนางไว้เพื่อยกให้แก่เธออยู่แล้ว ก็เป็นเหมือนทิ้งเนยใสลงในข้าวปายาส“ จึงทรงรับรอง  ในเวลาต่อมา ก็ทรงมอบราชสมบัติแด่พระภาคิไนยทรงตั้งพระราชธิดาเป็นมหาเทวี พระภาคิไนยก็ได้อยู่ร่วมสมัครสังวาสกับพระราชธิดานั้น ครองราชสมบัติโดยธรรม พราหมณ์ ผู้ตรวจลักษณะดาบก็ได้เป็นอุปัฏฐากของพระองค์

อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อพราหมณ์เข้าเฝ้าพระราชา ยืนเฝ้าสวนดวงอาทิตย์ครั่งละลายจมูกเทียมตกลงที่พื้น พราหมณ์ต้องยืนก้มหน้าด้วยความละอาย ครั้งนั้น พระราชาทรงพระสรวลพราหมณ์ ตรัสว่า „ท่านอาจารย์ อย่าได้คิดเลย ธรรมดาการจามได้เป็นผลดีแก่คนหนึ่ง เป็นผลร้ายแก่คนหนึ่งท่านจามจมูกขาด ส่วนฉันจามได้ธิดาของเสด็จลุงแล้วได้ราชสมบัติ“ แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า:-  

„เหตุอย่างเดียวกันนั่นแหละ เป็นผลดีแก่คนหนึ่ง แต่กลับเป็นผลร้ายแก่อีกคนหนึ่งได้ เพราะฉะนั้น อย่างเดียวกัน มิใช่ว่า จะเป็นผลดีไปทั้งหมดและมิใช่ว่า จะเป็นผลร้ายไป ทั้งหมด.“

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตเถเวกสฺส ได้แก่ ตเทเวกสฺส อีกอย่างหนึ่ง บาลีก็ว่าอย่างนี้เหมือนกัน แม้ในบทที่สอง ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

พระราชาทรงนำเหตุการณ์นั้นมา ด้วยคาถานี้ ด้วยประการฉะนี้ ทรงกระทำบุญมีให้ท่านเป็นต้นแล้วเพื่อไปตามยถากรรม.

พระศาสดา ทรงประกาศความที่แห่งความดีความชั่วที่โลกสมมติกันแล้ว เป็นการไม่แน่นอนด้วยพระเทศนานี้แล้วทรงประชุมชาดกว่า พราหมณ์ผู้ตรวจลักษณะดาบในครั้งนั้นได้มาเป็นพราหมณ์ผู้ตรวจลักษณะดาบในครั้งนี้ ส่วนพระราชาผู้เป็นภาคิไนยในครั้งนั้นได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.  จบอรรถกถาอสิลักขณชาดกที่ ๖

ที่มา: Palipage: Guide to Language - Pali


Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: