วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2564

มนุษยชาติต่างวิวัฒนาการมาเหมือนกัน ไม่มีใครสูงต่ำกว่ากันในแง่ชาติกำเนิด

มนุษยชาติต่างวิวัฒนาการมาเหมือนกัน ไม่มีใครสูงต่ำกว่ากันในแง่ชาติกำเนิด

[ณ ที่กลางแจ้งในร่มเงาปราสาทของนางวิสาขาในบุพพาราม นครสาวัตถี สามเณร 2 รูปชื่อวาเสฏฐะกับภารทวาชะ ได้เข้าพบพระพุทธเจ้าเพื่อขอฟังธรรม]

พ:  พวกเธอซึ่งเกิดมาในตระกูลพราหมณ์แล้วมาออกบวชนี่ บรรดาพราหมณ์ทั้งหลายเขาไม่ด่าว่าเธอกันหรือ?  ว/ภ:  ด่าด้วยคำเหยียดหยามเต็มที่เลยท่าน

พ:  ด่าว่าอย่างไร?  ว/ภ: บอกว่าพราหมณ์เป็นวรรณะที่ประเสริฐที่สุด เป็นวรรณะขาว บริสุทธิ์ ส่วนวรรณะอื่นนั้นต่างต่ำทราม เป็นวรรณะดำ ไม่บริสุทธิ์ พวกพราหมณ์เกิดจากอก จากปากของพระพรหม พระพรหมเป็นผู้เนรนิตขึ้น แต่พวกเรากลับละจากวรรณะพราหมณ์ มาเข้าวรรณะที่ต่ำทรามอย่างพวกสมณะโล้น เป็นพวกดำที่เกิดจากเท้าของพระพรหม ไม่ดีและไม่ควรเลย

พ:  พวกพราหมณ์นี้ระลึกถึงเรื่องเก่าของตัวเองไม่ได้ เลยพูดว่าวรรณะตนดีที่สุด จริงๆก็ชัดเจนอยู่ว่า นางพราหมณีมีประจำเดือน ตั้งครรภ์ แล้วคลอดลูกออกมาให้ดื่มนมตัวเอง พราหมณ์เหล่านั้นต่างเกิดมาจากช่องคลอดของนางพราหมณีทั้งสิ้น แล้วจะบอกว่าเป็นทายาทของพระพรหมได้อย่างไร ถือว่าพูดโกหก

ในวรรณะทั้ง 4 คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ และศูทร ต่างก็มีทั้งคนที่ประพฤติผิด เป็นอกุศล เป็นธรรมดำให้วิญญูชนติเตียน และคนที่ประพฤติชอบ เป็นกุศล เป็นธรรมขาวให้วิญญูชนสรรเสริญด้วยกันทั้งสิ้น ในเมื่อแต่ละวรรณะมีทั้งฝ่ายดำและฝ่ายขาวอยู่รวมกันอย่างนี้ เหล่าพราหมณ์จะมากล่าวว่ามีแต่วรรณะตนเท่านั้นที่เป็นวรรณะขาวได้อย่างไร

ในวรรณะทั้ง 4 นี้ ผู้ใดเป็นภิกษุที่หมดสิ้นกิเลส หลุดพ้นแล้ว ย่อมเป็นยอดกว่าคนทั้งหลายด้วยธรรมะที่มีในตน ธรรมะเท่านั้นที่ประเสริฐสุดในหมู่ชนทั้งโลกนี้และโลกหน้า พระราชาปเสนทิโกศลได้รับการเคารพไหว้จากคนในตระกูลศากยะ แต่ท่านเองกลับเคารพไหว้ตถาคต ทั้งนี้ด้วยเพราะธรรมะซึ่งเป็นสิ่งประเสริฐสุดนี่เอง

พวกเธอเกิดมาในตระกูลต่างกัน ชื่อต่างกัน แต่ออกบวชเหมือนกัน ถ้าใครถามว่าเป็นพวกไหน ก็ตอบไปว่าเป็นพวกพระสมณศากยบุตร   ผู้ที่มีศรัทธาตั้งมั่นในพระตถาคตโดยไม่หวั่นไหว ผู้นั้นชื่อว่าเกิดจากปากของพระตถาคต เกิดจากพระธรรม เป็นทายาทธรรม

มีบางยุคสมัย กาลเวลาล่วงไปยาวนาน ในช่วงที่โลกนี้กำลังพินาศไป หมู่สัตว์จำนวนมากไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม ณ ที่นั้น เหล่าสัตว์คิดอะไรสำเร็จได้ด้วยใจ มีปีติเป็นอาหาร มีแสงในตัว ล่องลอยอยู่ในอากาศได้สิ้นกาลนาน

มีบางยุคสมัย กาลเวลาล่วงไปยาวนาน ในช่วงที่โลกนี้กำลังเกิดขึ้น หมู่สัตว์จำนวนมากออกจากชั้นอาภัสสรพรหมมาสู่โลก เหล่าสัตว์คิดอะไรสำเร็จได้ด้วยใจ มีปีติเป็นอาหาร มีแสงในตัว ล่องลอยอยู่ในอากาศได้สิ้นกาลนาน   ในช่วงนั้น จักรวาลนี้เป็นน้ำไปหมด มืดมองไม่เห็นอะไร ยังไม่มีดวงอาทิตย์ดวงจันทร์และดวงดาวต่างๆ ไม่มีฤดูกาล ไม่มีกลางวันกลางคืน ไม่มีเพศหญิงชาย หมู่สัตว์ต่างเรียกกันว่าสัตว์เท่านั้น

หลังจากเวลาผ่านไปยาวนาน ก็มีง้วนดิน (ดินที่มีรสดี) เกิดลอยขึ้นบนน้ำ เหมือนน้ำนมสดที่ถูกเคี่ยวแล้วทิ้งให้เย็นจนจับเป็นฝาอยู่ข้างบน มีสีเหมือนเนยใสเนยข้นอย่างดี มีรสเหมือนน้ำผึ้งมิ้ม (น้ำผึ้งที่แมลงผึ้งตัวเล็กทำเอาไว้) เหล่าสัตว์ต่างได้เห็นง้วนดินที่ลอยอยู่นั้น ส่วนที่มีนิสัยโลภก็อยากรู้ว่าคืออะไรจึงลองช้อนขึ้นมาชิม เมื่อนั้นง้วนดินก็ได้ซ่านไปทั่วกาย ทำให้เกิดความอยากขึ้น สัตว์เหล่านั้นจึงพากันปั้นง้วนดินกินเป็นคำๆ

เมื่อสัตว์เหล่านั้นกินง้วนดินเข้าไป แสงในตัวก็หายไป แล้วดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวต่างๆ รวมถึงฤดูกาล และกลางวันกลางคืนก็ปรากฏขึ้น ด้วยเหตุนี้ โลกจึงได้กลับเกิดขึ้นมาอีก   สัตว์เหล่านั้นได้กินง้วนดินเป็นอาหารต่อมาเป็นเวลายาวนาน กายของสัตว์เหล่านั้นก็เริ่มหยาบแข็งขึ้น มีผิวพรรณ (อาจจะหมายถึงรูปลักษณ์ภายนอก) ที่แตกต่างกันปรากฏให้เห็นชัดขึ้นมา เริ่มมีการถือตัวดูหมิ่นว่าผิวดีผิวเลว

ต่อมาง้วนดินหายไป เกิดกระบิดินขึ้นมาให้กินแทน ลักษณะคล้ายเห็ด มีสีและรสเหมือนง้วนดิน จนเมื่อกระบิดินหายไปแล้ว ก็เกิดเครือดินให้กินต่อ ลักษณะคล้ายเถาผักบุ้ง มีสีและรสเหมือนง้วนดินและกระบิดินเช่นกัน กายของสัตว์เหล่านั้นก็หยาบแข็งขึ้นเรื่อยๆ ผิวพรรณก็แตกต่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน

หลังจากที่เครือดินหมดไปแล้ว ข้าวสาลีก็เกิดขึ้นมาเองได้ในที่ที่ไม่ต้องไถ ไม่มีรำ ไม่มีแกลบ บริสุทธิ์ มีกลิ่นหอม มีเมล็ดเป็นข้าวสาร หมู่สัตว์ต่างก็กินข้าวสาลีนี้เป็นอาหาร ดำรงชีวิตอยู่ตลอดระยะเวลายาวนาน  เมื่อเวลาผ่านไป สัตว์เหล่านั้นก็มีร่างกายหยาบแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ ผิวพรรณก็แตกต่างกันไปมากขึ้น เริ่มปรากฏเพศ เป็นหญิงชาย ต่างจ้องดูกัน เกิดความกำหนัดเร่าร้อนขึ้น เป็นเหตุให้เกิดเพศสัมพันธ์กัน

หมู่สัตว์เริ่มมีการตั้งหลักแหล่งอยู่อาศัย มีการสะสมข้าวสาลี และเกิดการกั้นเขตคันกัน จนมีปัญหาการลักขโมยข้าวสาลีของเขตอื่นตามมา เกิดการลงโทษกันเอง ซึ่งในที่สุด เหล่าผู้ใหญ่ทั้งหลายก็มาประชุมกันแล้วได้ข้อสรุปว่า พวกเราควรสมมติสัตว์ผู้หนึ่งให้เป็นผู้จัดการลงโทษติเตียนแทน โดยจะแบ่งข้าวสาลีให้ผู้นั้น มหาสมมติ กษัตริย์ หรือราชาจึงเกิดขึ้นในหมู่สัตว์นั้น

ต่อมาก็คิดกันว่าพวกเราควรทำกุศล ไม่ควรทำอกุศลต่อกัน จึงเกิดพราหมณ์ขึ้น โดยในบรรดาสัตว์นั้น ก็มีพวกที่แยกกันทำงานต่างๆ เกิดเป็นพวกแพศย์ มีบางครั้งที่กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ หรือศูทรคิดอยากออกบวชเป็นสมณะ สมณะจึงเกิดขึ้นในหมู่สัตว์นี้

ไม่ว่ากษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร หรือสมณะ หากประพฤติทุจริต มีมิจฉาทิฏฐิ ตายไปก็จะไปทุคตินรก แต่หากประพฤติสุจริต มีสัมมาทิฏฐิ ตายไปก็จะไปสุคติสวรรค์ ในบรรดาวรรณะทั้ง 4 นี้ ผู้ใดเป็นภิกษุที่หมดสิ้นกิเลส หลุดพ้นแล้ว ย่อมเป็นเลิศกว่าคนทั้งหลายด้วยธรรมะที่มีในตน ธรรมะเท่านั้นที่ประเสริฐสุดในหมู่ชนทั้งโลกนี้และโลกหน้า

วาเสฏฐะ ภารทวาชะ แม้สนังกุมารพรหมยังกล่าวว่า ในหมู่ชนที่ตีค่าคนด้วยชาติตระกูล กษัตริย์ย่อมดีเลิศที่สุด แต่ในหมู่เทวดาและมนุษย์ ผู้ที่ถึงพร้อมด้วยวิชชา (ความรู้แจ้ง) และจรณะ (ทางปฏิบัติเพื่อให้รู้แจ้ง) คือผู้ที่ดีเลิศที่สุด

ที่มา: เรียบเรียงจากพระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ 15 (พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ภาค 3 เล่ม 1 อัคคัญญสูตร ข้อ 51), 2559, น.143-161




Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: