โรคเนื่องด้วย “ไสยศาสตร์” โรคโง่ทางจิต
“ยังมีอีกพวกหนึ่ง เป็นโรคเนื่องด้วยไสยศาสตร์ โรคโง่ทางจิต เรียกว่า “ไสยศาสตร์”, เคยอธิบายมามากแล้วคําว่าไสยศาสตร์ แต่สรุปความอีกทีว่า คําว่า ไสยะ เสยฺย นั้นแปลว่า ดีกว่า หรือแปลว่า หลับ, เรื่องไสยศาสตร์นี้มันดีกว่าไม่มีความรู้อะไรเสียเลย มีไสยศาสตร์สําหรับดีกว่าที่จะไม่รู้อะไรเสียเลย แต่มันเป็นศาสตร์ของคนหลับ, คนหลับในที่นี้ก็คือ “คนโง่”, เป็นโรคของคนหลับ คือ คนโง่ เพียงแต่ว่าดีกว่าไม่มีอะไรเสียเลย มันก็หลอกตัวเองให้หลง, หรือว่าอย่างจะยินดีมีความสุข ก็เป็นอย่างหลอกตัวเอง ผลที่ได้มาจากไสยศาสตร์นั้น บางทีก็หลอกคนโง่ให้ชอบใจให้สบายใจได้พักๆหนึ่งเหมือนกัน จึงเรียกว่าดีกว่าไม่มีอะไรเสียเลย แต่มันก็ยังเป็นโรคของคนหลับ...
เขามักจะชอบสิ่งแปลกประหลาด มหัศจรรย์ เข้าใจไม่ได้ แล้วก็เชื่อว่าดี, เรื่องไสยศาสตร์นั้นเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ ต้องขอให้เชื่ออย่างเหมาๆกันว่าดี แล้วมันมีหลักว่า “พึ่งผู้อื่น” ถ้าเป็นไสยศาสตร์แล้วก็ พึ่งผีสาง เทวดา ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่จอมปลวกก็ยังพลอยศักดิ์สิทธิ์ นี่มืดหรือหลับสักเท่าไร ขอให้ลองคิดดู ถ้าเป็นพุทธศาสตร์ต้อง “พึ่งตัวเอง” ไสยศาสตร์พึ่งผู้อื่น พุทธศาสตร์พึ่งตัวเอง ; ถ้าเธอจะทําให้ถูกเรื่องของ“พุทธบริษัท” ต้องคิดพึ่งตัวเอง
อย่างเอาพระพุทธรูปมาแขวนไว้ที่คอ พระเครื่องมาแขวนไว้ที่คอ ไม่ใช่ให้พระเครื่องช่วย ; แต่เอามาแขวนไว้กันลืมว่า “เธอต้องช่วยตัวเอง”, เอาพระเครื่องมาแขวนไว้ที่คอเพื่อกันลืมว่า เธอต้องช่วยตัวเอง แต่ถ้าให้พระพุทธรูปหรือพระเครื่องช่วยแล้วเป็นไสยศาสตร์ ไม่ใช่พุทธศาสตร์, นี่ขอให้เข้าใจเสียด้วย ถ้าไปกราบพระในโบสถ์ว่าให้พระช่วย ถ้าอย่างนี้เป็นไสยศาสตร์; ถ้าไปกราบพระในโบสถ์โดยระลึกว่าพระพุทธเจ้าช่วยตัวเอง แล้วสอนให้เราช่วยตัวเองได้ด้วย อย่างนี้เป็นพุทธศาสตร์,
จงจําเป็นหลักไว้ว่า ถ้าไสยศาสตร์มันให้ผู้อื่นช่วย, ถ้าเป็นพุทธศาสตร์ช่วยตัวเอง เมื่อเราอยากจะเป็นพุทธบริษัท ต้องคํานึงถึงข้อนี้ คือถือพุทธศาสตร์ อย่าไปถือไสยศาสตร์ ศาสตร์ของคนหลับ เพียงแต่ว่าดีกว่าไม่มีนิดหนึ่งเท่านั้นแหละ ถ้าเป็นพุทธศาสตร์แล้วมันก็ช่วยตัวเอง มันศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่การช่วยตัวเอง ไม่ต้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นไหนมาช่วย ให้มันศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวเอง คือการประพฤติกระทําที่ดี นี้เรียกว่าเป็นพุทธศาสตร์,
พุทธบริษัทที่แท้จริง คือพวกเรานี้ จะต้องนิยมความสูงในทางวิญญาณ ในทางสติปัญญา, อย่าให้ตกต่ำลงไปในความมืดความบอดเช่นนั้น นิยมความจริงของธรรมชาติ รู้สึกอยู่ด้วยจิตจริงๆในความรู้สึก, ไม่ต้องเหมา ไม่ต้องคาดคะเน ไม่ต้องเชื่ออย่างงมงาย. เรามุ่งหมายความสะอาด ความสว่าง ความสงบ เห็นชัดอยู่แก่ใจ : ความสะอาดแห่งจิตใจ ความสว่างแจ่มแจ้งแห่งจิตใจ ความสงบเย็นแห่งจิตใจ นี่หามาให้ได้ ก็เป็นแสงสว่างในทางวิญญาณ”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายประจำวันเสาร์ แห่งภาคอาสาฬหบูชา ครั้งที่ ๒ ชุด “ฟ้าสางระหว่าง ๕๐ ปี” บรรยายเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๒๖ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “ฟ้าสางระหว่าง ๕๐ ปี ที่มีสวนโมกข์ ตอน ๒” หน้า ๓๘-๓๙
“ไสยศาสตร์” มันจำเป็นสำหรับคนปัญญาอ่อน
“สิ่งที่เรียกว่าไสยศาสตร์นี่ มันจำเป็นสำหรับคนปัญญาอ่อน ไสยศาสตร์เป็นศาสนาของคนปัญญาอ่อน คุณอย่าปัญญาอ่อนสิ อย่าเป็นผู้ปัญญาอ่อน ไสยศาสตร์จะหมดอำนาจหมดกำลัง ถ้าคุณยังเป็นปัญญาอ่อนอยู่มันก็ยังต้องการไสยศาสตร์อย่างที่หลีกไม่ได้ช่วยไม่ได้...
มันเป็นต้นตอแห่งปัญหาของโลกทั้งโลกเลย มันเป็นปัจจัยที่หล่อเลี้ยงอวิชชาไว้มากเหลือเกิน ไสยศาสตร์เป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงอวิชชาไว้ให้ยังคงมีกำลังรุนแรงอยู่ตลอดเวลา
ปัญหาทางไสยศาสตร์ โลกมันถูกครอบงำอยู่ด้วยปัญหาอย่างนี้ มันจึงลืมตาไม่ขึ้น แม้ว่าจะมีการศึกษา เจริญก้าวหน้าเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นบัณฑิตเป็นอะไรกันเต็มที่แล้ว ไอ้ความรู้สึกทางไสยศาสตร์มันก็ยังอยู่ ต่อให้ไปเรียนจากเมืองนอกมีปริญญาเป็นหางมาถึงเมืองไทย ก็ยังไม่ละทิ้งไอ้ไสยศาสตร์ได้ คือ ความกลัวโดยไม่มีเหตุผล ความอยากโดยไม่รู้จักประมาณ ความเชื่อว่ามีสิ่งหนึ่งซึ่งเราไม่รู้ได้ไม่เห็นหน้าได้ไม่รู้จักได้ เป็นสิ่งที่มีอำนาจอยู่เบื้องหลัง แม้จะไปเรียนวิทยาศาสตร์จบปริญญาวิทยาศาสตร์มามันก็ไม่ละทิ้งความรู้สึกอันนี้ได้ เพราะมันฝังอยู่ลึก
อาตมารู้จักด็อกเตอร์อังดรัวต์คนหนึ่ง จบมาจากประเทศฝรั่งเศส สิ่งแรกที่มาถึงประเทศไทยที่เขาจะทำคือไปรดน้ำมนต์ที่วัดไหนดี เขาบอกว่าช่วยแนะให้ที จะไปรดน้ำมนต์ที่วัดไหนดี กลับมาจากเมืองนอกใหม่ๆ สิ่งที่เขาจะทำ ก็แปลว่าไอ้การศึกษาที่เมืองนอกมันไม่ช่วยแก้ไอ้ความรู้สึกแบบไสยศาสตร์ได้ นักวิทยาศาสตร์มันก็ยังงมงายในด้านจิตใจ แม้มันจะสว่างไสวในด้านวัตถุ มันยังงมงายด้านจิตใจ ฉะนั้น ความหวังที่จะได้อะไรจากสิ่งที่มองไม่เห็นตัว หรือความงมงายนั้น มันก็ยังเหลืออยู่เท่าเดิม
ทำไมเราจึงปัญญาอ่อน เพราะว่าไอ้ศรัทธางมงายมันมาแย่งเอาไป แย่งรากฐานเอาไปหมด ศรัทธาที่งมงายมันมาแย่งรากฐานเอาไปหมด รากฐานของปัญญาแล้ว ปัญญามันจึงทรุดลงเป็นปัญญาอ่อน ปัญญาอ่อนอย่างนี้หมายความว่าปัญญาทางจิตทางวิญญาณ ไม่ใช่ปัญญาอ่อนทางวัตถุ เด็กๆ ทุพพลภาพ เด็กหรือสัตว์พิการสมองพิการปัญญาอ่อนอย่างนั้นไม่เกี่ยวกันกับเรื่องนี้
ปัญญาอ่อนในเรื่องนี้หมายถึงว่ามันอ่อนไปด้วยความรู้ ความถูกต้องของพระธรรม มันปัญญาอ่อนอย่างนี้ ไอ้เด็กปัญญาอ่อนที่เก็บไว้ตามโรงพยาบาลนั่นไม่เป็นไร นั่นมันเป็นธรรมชาติ มันเป็นความไม่สมประกอบของไอ้ระบบกาย แต่คนที่มีร่างกายดี กลับมีปัญญาอ่อนเพราะรู้ผิดนี่ คือสิ่งที่เป็นปัญหา ที่ทำให้โลกนี้จมอยู่ในความมืดไม่ลืมตา เราเรียกกันว่าไสยศาสตร์ ปัญญาอ่อนเท่าไร มันก็ยิ่งต้องการไสยศาสตร์มากเท่านั้นแหละ
ใครปัญญาอ่อนเท่าไร เขาจะยิ่งชอบยิ่งต้องการไสยศาสตร์มากเท่านั้น น่าเห็นใจ จะแก้ไขกันอย่างไร มันก็ต้องเพิ่มปัญญา อย่าให้อ่อน ให้เป็นปัญญาแข็ง ถ้าถูกด่าว่าปัญญาอ่อนอย่าโกรธเลย ถ้าเขาหาว่าเราปัญญาอ่อนบ้างก็อย่าโกรธเลย เพราะมันอ่อนอยู่จริงๆ รีบทำให้มันกล้าแข็งเสียเถิด”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : แสดงธรรมล้ออายุ ปี ๒๕๒๕ หัวข้อธรรม “อยากจะร้องไห้ เพราะจะต้องรักษาไสยศาสตร์ไว้สำหรับคนปัญญาอ่อน”
0 comments: