วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2564

สาลิตฺตกชาตกํ - ว่าด้วยคนมีศิลปะ

สาลิตฺตกชาตกํ - ว่าด้วยคนมีศิลปะ

"สาธุ  โข  สิปฺปกํ  นาม,        อปิ  ยาทิส  กีทิสํ;

ปสฺส  ขญฺชปฺปหาเรน,          ลทฺธา  คามา  จตุทฺทิสาติ ฯ

ขึ้นชื่อว่าศิลปะแม้อย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมยังประโยชน์ให้สำเร็จโดยแท้ขอเชิญพระองค์ ทรงทอดพระเนตร บุรุษเปลี้ยได้บ้านส่วยทั้ง ๔ ทิศ ก็เพราะการดีดมูลแพะ."

สาลิตตกชาดกอรรถกถา (วิชาดีดก้อนกรวด)

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรงปรารภภิกษุผู้ฆ่าหงส์รูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า  สาธุ  โข  สิปฺปกํ  นาม  ดังนี้.

ได้ยินว่า ภิกษุนั้น เป็นกุลบุตรชาวเมืองสาวัตถีผู้หนึ่งถึงความสำเร็จในสาลิตตกศิลป์ ที่เรียกว่า สาสิตตกศิลป์ได้แก่ ศิลปะในการดีดก้อนกรวด วันหนึ่งเขาฟังธรรมแล้วบวชถวายชีวิตในพระศาสนาได้อุปสมบทแล้ว แต่มิได้เป็นผู้มุ่งการศึกษา มิได้เป็นผู้ยังการปฏิบัติให้สำเร็จ

วันหนึ่งเธอชวนภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง ไปสู่แม่น้ำอจิรวดี อาบน้ำแล้วพักอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำ ครั้งนั้น หงส์ขาว ๒ ตัวพากันบินมาทางอากาศ เธอจงกล่าวกะภิกษุหนุ่มนั้นว่า „ผมจะเอาก้อนกรวดประหารหงส์ตัวหลังนี้ที่นัยน์ตา ให้ตกลงมาแทบเท้าของท่าน“    อีกรูปหนึ่งกล่าวว่า „ท่านจะทำให้มันตกได้อย่างไร, ท่านไม่อาจประหารมันได้ดอก“

เธอกล่าวว่า „เรื่องนั้นยกไว้ก่อนเถิด เราจักประหารมันที่นัยน์ตาข้างโน้น ให้ทะลุถึงตาข้างนี้" ภิกษุหนุ่มจึงกล่าวแย้งว่า „คราวนี้ท่านพูดไม่จริงละ !“ เธอบอกว่า „ถ้าอย่างนั้น คุณคอยดู“ แล้วหยิบเอาก้อนกรวดคม ๆ ได้ก้อนหนึ่ง คลึงด้วยนิ้วชี้แล้วดีดไปข้างหลังของหงส์นั้น,   ก้อนกรวดนั้น ส่งเสียงหึ่ง ๆ หงส์คิดว่า น่าจะมีอันตราย เหลียวกลับมาหมายจะฟังเสียงภิกษุนอกนี้ ก็ถือก้อนกรวดก้อนหนึ่งไว้ในขณะนั้น เมื่อมันยังเหลียวดูอยู่ ก็ดีดไปกระทบนัยน์ตาอีกข้างหนึ่งก้อนกรวดเจาะทะลุถึงนัยน์ตาอีกข้างหนึ่ง หงส์ร้องดังสนั่นตกลงมาที่ใกล้เท้าทันที.    พวกภิกษุมาจากที่นั้น ๆ พากันติเตียนกล่าวว่า „คุณทำไม่สมควรเลย“ แล้วนำเธอไปสำนักพระศาสดากราบทูลเรื่องนั้นว่า „ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุรูปนี้กระทำกรรมชื่อนี้"

พระศาสดาทรงตำหนิภิกษุนั้น ตรัสว่า „ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ภิกษุนี้ฉลาดในศิลปะนั้น แม้ครั้งก่อนก็ได้เป็นผู้ฉลาดแล้วเหมือนกัน“ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-     ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี    พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นอำมาตย์ของพระองค์ ครั้งนั้น ปุโรหิตของพระราชาเป็นคนปากกล้ายิ่งนัก ชอบพูดมาก เมื่อตั้งต้นพูดแล้ว คนอื่น ๆ จะไม่มีโอกาสได้พูดเลยทีเดียว.    ฝ่ายพระราชาก็ทรงพระดำริว่า „เมื่อไรเล่าหนอ เราถึงจักได้ใครช่วยสะกัดถ้อยคำของเขาเสียได้“ ตั้งแต่นั้นท้าวเธอก็ทรงใคร่ครวญหาคนอย่างนี้สักคนหนึ่ง

ครั้งนั้น ในเมืองพาราณสีมีบุรุษง่อยคนหนึ่ง ถึงความสำเร็จในศิลปะคือ การดีดก้อนกรวด พวกเด็กชาวบ้านยกเขาขึ้นสู่รถช่วยกันลากมาไว้ที่ต้นไทรใหญ่สมบูรณ์ด้วยคาคบต้นหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ใกล้ประตูพระนครพาราณสีพากันห้อมล้อม ให้เงินมีกากณึกเป็นต้น ร้องบอกว่า „จงทำรูปช้าง จงทำรูปม้า“ เขาก็ดีดก้อนกรวดแสดงรูปต่าง ๆ ที่ใบไทรทั้งหลาย, ในใบไทรทั้งมวลล้วนเป็นช่องน้อย ช่องใหญ่ไปทั้งนั้น.

ครั้งนั้น พระเจ้าพาราณสี เสด็จพระดำเนินไปสู่พระอุทยาน เสด็จถึงตรงนั้น พวกเด็กทั้งหมดพากันหนี เพราะกลัวจะถูกขับไล่ บุรุษง่อยนอนอยู่ในที่นั้นเอง.    พระราชาเสด็จถึงโคนต้นไทร ประทับนั่งในราชรถนั่นแล ทอดพระเนตรเห็นเงาต่าง ๆเพราะใบไม้ทั้งหลายขาดเป็นช่อง ก็ทรงจ้องดู ครั้นเห็นใบไม้ทั้งปวงปรุโปร่งไปหมดก็ตรัสถามว่า „ใบไม้เหล่านี้ใครทำให้เป็นอย่างนี้ ?" ราชบุรุษกราบทูลว่า „ข้าแต่สมมติเทพ บุรุษเปลี้ย กระทำพระเจ้าข้า“

พระราชทรงพระดำริว่า „อาศัยคนผู้นี้เราอาจสะกัดคำของพราหมณ์ได้, จึงมีพระดำรัสถามว่า „พนาย เจ้าง่อยอยู่ไหนละ ?“ ราชบุรุษเที่ยวค้น ก็พบเขานอนอยู่ที่โคนไม้ ก็พากันนำตัวมากราบทูลว่า „นี่พระเจ้าข้า“ พระราชารับสั่งให้เข้าเฝ้าแล้วทรงขับบริษัทไปเสีย.    ตรัสถามว่า „ในสำนักของเรามีพราหมณ์ปากกล้าอยู่คนหนึ่ง เจ้าจักอาจทำให้เขาหมดเสียงได้ไหม ?“ บุรุษง่อยกราบทูลว่า „เมื่อได้ขี้แพะประมาณทะนานหนึ่ง ข้าพระองค์ก็อาจจะกระทำได้พระเจ้าข้า“

พระราชารับสั่งให้ราชบุรุษพาบุรุษง่อยเข้าไปสู่พระราชวัง ให้นั่งอยู่ภายในม่านเจาะช่องที่ม่าน รับสั่งให้จัดที่นั่งของพราหมณ์ตรงช่องแล้วให้วางขี้แพะแห้งประมาณหนึ่งทะนานไว้ใกล้ ๆ บุรุษง่อย เวลาพราหมณ์มาเฝ้า รับสั่งให้นั่งเหนืออาสนะนั้น พลางทรงตั้งเรื่องสนทนาขึ้น.   พราหมณ์ไม่ยอมให้โอกาสแก่คนอื่น ๆ เริ่มกราบทูลแก่พระราชาครั้งนั้น บุรุษง่อยก็ดีดขี้แพะไปทีละก้อน ๆ ทางช่องม่าน กะให้ตกลงที่พื้นเพดานปากของพราหมณ์นั้นทุกที เหมือนกับโยนใส่กระเช้าฉะนั้น.   

พราหมณ์ก็กลืนขี้แพะที่ดีดมาแล้ว ๆ เหมือนกรอกน้ำมันใส่ทะนาน. ขี้แพะถึงความสิ้นไปหมดทั้งทะนาน ขี้แพะประมาณทะนานหนึ่งนั้น เข้าท้องของพราหมณ์ไปได้ประมาณกึ่งอาฬหกะ.    พระราชาทรงทราบความที่ขี้แพะหมดสิ้นแล้วจึงตรัสว่า „ท่านอาจารย์ท่านกลืนขี้แพะเข้าไปตั้งทะนาน เพราะเป็นคนปากมากท่านยังไม่รู้อะไรเลย, บัดนี้ท่านจักไม่สามารถให้ขี้แพะมากกว่า นี้ย่อยได้, ไปเถิด จงดื่มน้ำประยงค์ ถ่ายทิ้ง ทำตนให้ปราศจากโรคเถิด“    

จำเดิมแต่นั้น พราหมณ์ เหมือนมีปากถูกปิดสนิท แม้ใครจะพูดก็ไม่ค่อยจะพูดด้วยพระราชาทรงพระดำริว่า „บุรุษนี้ทำความสบายหูให้แก่เรา“ พระราชทานบ้าน ๔ หลัง ในทิศทั้ง ๔ มีส่วยขึ้นประมาณแสนกษาปณ์

พระโพธิสัตว์เข้าเฝ้าพระราชากราบทูลว่า „ข้าแต่สมมติเทพ ธรรมดาศิลปะในโลก บัณฑิตทั้งหลายพึงเรียน แม้เพียงดีดก้อนกรวด ก็ยังช่วยให้บุรุษง่อยได้สมบัตินี้“ แล้วกล่าวคาถานี้ว่า :-   

„ขึ้นชื่อว่าศิลปะ แม้อย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมยังประโยชน์ให้สำเร็จโดยแท้ ขอเชิญพระองค์ทรงทอดพระเนตรบุรุษง่อยได้บ้านส่วย ทั้ง ๔ ทิศ ก็ด้วยการดีดมูลแพะ.“

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า  ปสฺส  ขญฺชปฺปหาเรน  ความว่า พระโพธิสัตว์กล่าวสรรเสริญคุณของศิลปะว่า „ข้าแต่มหาราชเจ้าขอเชิญทรงทอดพระเนตรเถิด บุรุษง่อยผู้นี้ได้รับพระราชทานบ้าน ๔ หลัง ใน ๔ ทิศ ก็ด้วยการดีดขี้แพะ อะไรเป็นข้อขีดคั่นอานิสงส์แห่งศิลปะอื่น ๆเล่า ?“

พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา ตรัสประชุมชาดกว่า บุรุษง่อยในครั้งนั้นได้มาเป็นภิกษุนี้ พระราชาได้มาเป็นอานนท์ ส่วนอำมาตย์ผู้เป็นบัณฑิตได้มาเป็นเราตถาคตฉะนี้แล. 

ที่มา : Palipage : Guide to Language - Pali



Previous Post
Next Post

post written by:

0 comments: